Search
Close this search box.

Volkswagen Amarok ใหม่ ปิคอัพคู่ฝาแฝด Ford Ranger เปิดตัวแล้ว เจน 2 เตรียมบุกยุโรป-ออสซี่

All New Volkswagen Amarok 2023 รถกระบะใหม่จากเยอรมนี คู่ฝาแฝด Ford Ranger ขุมพลัง 302 แรงม้า เจนเนอเรชั่นที่ 2 จากค่ายโฟล์คสวาเกน มีให้เลือกทั้ง ดีเซล-เบนซิน พ่วงเทคโนโลยีล้ำสมัยเต็มพิกัด เตรียมบุกตลาดยุโรป ออสเตรเลีย

Volkswagen Group จากเยอรมนี ได้ฤกษ์เผยโฉมอย่างเป็นทางการ All New Volkswagen Amarok 2023 รถกระบะ เจนเนอเรชั่นที่ 2 โดยถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกันกับกระบะสายพันธุ์แกร่งจากฝั่งอเมริกา อย่าง Ford Ranger 2022 เวอร์ชันล่าสุดที่มีวางจำหน่ายในประเทศไทย แต่มากับรูปลักษณ์หน้าตาที่แตกต่างกัน พร้อมด้วยขุมพลังมีให้เลือกทั้งดีเซล และเบนซิน พร้อมพ่วงเทคโนโลยีล้ำสมัยมาแบบเต็มพิกัด
สำหรับ Amarok รุ่นก่อนหน้าที่เปิดตัวในปี 2010 สร้างขึ้นในอาร์เจนตินาและขายในอเมริกาใต้ ยุโรป และออสเตรเลีย แต่ไม่ใช่ในสหรัฐฯ คราวนี้ Amarok ถูกผลิตในแอฟริกาใต้ และในขณะที่สำนักงานใหญ่ของ โฟล์คสวาเกน ในเยอรมนีไม่ได้ยืนยันยอดขายในอเมริกาเหนือ อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ ในสหรัฐฯ ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าชื่อ Amarok ไว้แล้ว สำหรับนำเข้ามาจำหน่ายในสหรัฐได้

Volkswagen Amarok มีให้เลือก 2 รูปแบบตัวถัง ได้แก่ 4 ประตู Double cab และ 2 ประตู Single cab สร้างขึ้นบนพื้นฐาน Ford T6 Platform รุ่นปรับปรุงใหม่ ที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นทุกมิติ แบบเดียวกันกับ Ford Ranger ใหม่ ซึ่งมีระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 173 มม. (6.8 นิ้ว) โดยจะมีความยาวฐานล้ออยู่ที่ 3,270 มม. (128.7 นิ้ว) ส่งผลทำให้มีพื้นภายในห้องโดยสารที่กว้างมากขึ้นโดยเฉพาะตำแหน่งผู้โดยสารตอนหลัง
พร้อมรองรับน้ำหนักลากจูงสูงสุดถึง 3.5 ตัน และเพิ่มขีดความสามารถในการลุยน้ำท่วมสูงสุด 80 เซนติเมตร จากเดิม 50 เซนติเมตร พร้อมปรับปรุงระยะ Overhang หน้า-หลัง ให้สั้นลงเพื่อรองรับองศาการปีนป่ายได้ดียิ่งขึ้น มาพร้อมล้ออัลลอยขนาดตั้งแต่ 17-21 นิ้ว

ด้านการออกแบบรูปลักษณ์หน้าตา ทีมงานผู้ออกแบบ Amarok ยืนยันว่าใช้เวลาการทำงานที่นานและหนัก เพื่อดีไซน์รออกแบบตัวรถให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ต้องดูไม่เหมือนกับ Ranger เริ่มตั้งแต่ด้านหน้า ที่ยังคงกลิ่นอายของรุ่นก่อนหน้าอยู่ไม่น้อย เริ่มจากด้านหน้าตัวรถกระจังหน้าทรงเหลี่ยมยาว ติดตรา VW ดวงโตไว้ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยชุดไฟหน้าแบบ Matrix LED ที่มาพร้อมเทคโนโลยี จาก IQ.Light technology ที่มีแสงสว่างที่ดีกว่าหลอดไฟทั่วไป รวมถึงระบบการทำงานที่ช่วยป้องกันไปรบกวนรถคันอื่นที่สวนมา มาพร้อมไฟ DRL ที่เป็นรูปตัว C ขนาดใหญ่ที่อยู่ในโคมเดียวกัน
ด้านล่างติดตั้งกันชนหน้ารูปตัว X ที่เป็นชิ้นงานโครเมียมพร้อมตีตราชื่อรุ่น AMAROK ส่วนด้านปลายกันชนทั้ง 2 ฝั่งติดตั้งชุดไฟตัดหมอก LED ที่อยู่ในกรอบสีดำ นอกจากนั้นยังติดตั้งหูลากไว้ที่ด้านหน้าถึง 2 ตำแหน่ง ด้านท้ายมาพร้อมกับไฟท้ายรูปทรงตัว C พร้อมกับประทับชื่อรุ่น AMAROK และติดตราโลโก้ VW ขนาดใหญ่ไว้ที่ฝากระบะท้าย

สำหรับภายในห้องโดยสารดูมีความคล้ายกับ Ford Ranger แต่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางส่วน แต่ยังคงใส่ความล้ำสมัย อาทิ ด้วยมาตรวัดความเร็วแบบ Full Digital ที่สามารถบอกค่าต่างๆของตัวรถได้อย่างครบถ้วน ตรงกลางแผงแดชบอร์ดติดตั้งหน้าจอขนาดใหญ่แบบแนวตั้ง 12 นิ้ว (สำหรับรุ่นท๊อป และรุ่นกลาง) รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ปุ่มควบคุมการสั่งงานจะถูกติดตั้งอยู่ใต้หน้าจอกลางที่วางเป็นแบบแป้นเปียโน, เบาะนั่งที่สามารถปรับไฟฟ้าได้ถึง 10 ทิศทาง
สำหรับคันเกียร์จะดีไซน์ให้สั้นกว่า Ranger เป็นคันเกียร์ไฟฟ้า Electronice e-Shifter มาพร้อมระบบเครื่องเสียงของทาง HARMAN KARDON นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบ ADAS ที่มีฟังก์ชันรวมกันไม่น้อยกว่า 20 ฟังก์ชัน
สำหรับรุ่น PanAmericana and Aventura มาพร้อมระบบเครื่องเสียงจาก Harman Kardon 8 ลำโพง และเป็นออฟชั่นสำหรับรุ่นอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้นภายในยังได้คอนโซลบุหนัง พร้อมการออกแบบเบาะนั่งคู่หน้าตามหลักสรีรศาสตร์ จุดเด่นที่ทาง Volkswagen ภูมิใจนำเสนอสำหรับรุ่น DoubleCab ก็คือ พื้นที่เบาะหลังเพียงพอสำหรับผู้ใหญ่ 3 คน โดยไม่อึดอัด

ชุดขุมพลังของ Volkswagen Amarok 2023 จะมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ดีเซล และเบนซิน ได้แก่
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (สำหรับตลาดแอฟริกา)
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร โบ ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 170 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตร มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และมีทั้งขับเคลื่อนล้อ 2 หลังและขับเคลื่อน 4 ล้อ (หรือที่เรียกว่า 4 Motion)
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร หรือ bi-turbo ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 209 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 6/10 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง/ขับเคลื่อน 4 ล้อ (หรือที่เรียกว่า 4 Motion)
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 3.0 ลิตร V6 ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 241 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะหรืออัตโนมัติ 6/10 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง/ขับเคลื่อน 4 ล้อ (หรือที่เรียกว่า 4 Motion)
- เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.3 ลิตร เทอร์โบชาร์จ EcoBoost ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 302 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 452 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

ในด้านโหมดการขับขี่จะมีให้เลือกมากถึง 6 โหมด ได้แก่ Normal,ECO,Slippery,Snow-Sand,Mud-Rut และโหมด Tow-Hawl มาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่สูงสุด 20 ระบบ ตัวอย่างเช่น ระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ ACC+ Adaptive Cruise Control พร้อมติดตั้งกล้องตรวจจับป้ายจราจรจำกัดความเร็วทำงานร่วมกัน กล้องรอบคัน 360 องศา ระบบช่วยจอด Park Assist เป็นต้น
สำหรับในด้านพละกำลัง สามารถบรรทุกเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 กิโลกรัม และความสามารถในการลากจูงอยู่ที่ 3,500 กก. และจะมาพร้อมกับระบบช่วงล่าง รวมไปถึงระบบ Terrain System ที่อัจฉริยะแบบเดียวกับ Ford Ranger

มีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย ได้แก่ Amarok Life Style และรุ่นที่ตกแต่งเพื่อการใช้งานแบบ off-road อย่าง PanAmericana (Off-Road Style) พร้อมรุ่นบนสุดเน้นความหรูหราอย่าง Aventura (Exclusive Style)

Volkswagen จะเริ่มผลิตเดิยสายการ Amarok ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ที่โรงงาน Silverton ในเมือง Pretoria ประเทศแอฟริกาใต้ โดยที่ Volkswagen จะยังผลิต Amarok รุ่นปัจจุบัน ที่สำหรับตลาดอเมริกาใต้ต่อไป
สำหรับกำหนดการเปิดตลาดในประเทศไหนบ้าง จะถูกประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งในปลายไตรมาสที่ 3 นี้ ส่วนประเทศไทย ค่ายโฟล์คสวาเกน Thailand คาดว่า คงจะไม่นำรุ่นนี้เข้ามาจำหน่ายโดยตรง หรืออย่างเป็นทางการ แต่มีความเป็นไปได้ ที่มีผู้จำหน่ายรถยนต์อิสระ (Gray Market) อาจสั่งรถกระบะรุ่นนี้เข้ามาขาย ก็น่าจะเป็นไปได้เช่นเดียวกันครับ