ถ้าพูดถึงรถไฟฟ้าในบ้านเราตอนนี้ก็จะมีอยู่หลากหลายรุ่นพอควร เช่น Ora Good Cat, MG ZS EV, MG EP, BYD ATTO 3 เป็นต้น ทางฝั่งยุโรปก็จะมี BMW iX, BMW iX3, Mercedes Benz EQS ถ้าเรายังไม่รีบก็รอในอนาคตจะมีเข้ามาให้เลือกอีหลายรุ่นแน่นอนครับ
จุดแข็งของ Toyota คือความเชื่อใจจากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างรถที่ออกแบบภายใต้ E-TNGA เป็นโครงสร้างที่ทาง Toyota ออกแบบมาเพื่อรองรับรถไฟฟ้าโดยเฉพาะไม่ใช้การนำโครงสร้าง TNGA มาพัฒนาแต่เป็นการ Set 0 แล้วเริ่มออกแบบใหม่เพื่อรองรับกับรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้ำหนักตัวรถ
Toyota bZ4X จะมีมอเตอร์มาให้ 2 ตัวคือด้านหน้า และด้านหลัง ที่ทำงานแบบอิสระซึ่งแต่ละตัวจะมีขนาด 80 กิโลวัตต์ รวมกันได้ 160 กิโลวัตต์ แรงม้าจะอยู่ที่ 218 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 337 นิวตันเมตร ที่ชาร์จแบตเตอรี่จะเป็นแบบ AC Type 2 และ DC แบบ CCS Type 2 ส่วนแบตเตอรี่จะเป็น ลิเธียม-ไออน ขนาด 71.4 กิโลวัตต์ เร่งความเร็ว 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 6.9 วินาที
เรื่องดีไซน์ภายใน และระบบต่าง ๆ ของ Toyota bZ4X การกดดูกล้องรอบคันสามารถกดปุ่มที่ใต้จอ แต่จะไม่สามารถเลือกมุมที่ต้องการดูได้เมื่อเราอยู่ในเกียร์ P เมื่อเราเข้าเกียร์ D เราจะเห็นกล้องด้านหน้า และเมื่อเข้าเกียร์ R กล้องจะจับที่ด้านหลังของรถ ซึ่งถ้าจะเทียบเรื่องคุณภาพกล้องของ Toyota รุ่นอื่น ๆ บอกเลยว่าของรุ่นนี้ดีกว่ามากครับ
หน้าจอจะไม่ได้มีกราฟฟิกหรือการปรับแต่งมากมาย สามารถเชื่อมต่อ AppleCar Play และ Android Auto ได้
อีกอย่างที่อยากพูดถึงคือวัสดุตกแต่งภายในเช่น คอนโซลหน้าจะใช้วัสดุรีไซเคิล มีความนุ่มมือแต่อาจจะอมฝุ่นและสกปรกง่าย ด้านใต้คอนโซลกลางจะมีที่เก็บของเพิ่มเติมให้พร้อมช่อง USB
ด้านท้ายมีระบบ Hand Free Tailgate สามารถเปิดท้ายได้โดยไม่ต้องใช้มือ ซึ่งด้านท้ายของคันนี้มีรูปแบบที่แหวกแนวกว่ารถ Toyota รุ่นอื่น ๆ ด้านท้ายมีทรงเหมือนรถ Coupe แผ่นรองด้านล่างสามารถถอดออกได้ รวมทั้งมีม่านกั้นช่วงท้ายให้ เบาะหลังสามารถพับจากตอนท้ายได้โดยการดึงสลักที่มุมเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย
ไฟท้ายเป็นแบบ Full LED และด้านหน้าก็เป็น LED เช่นกัน ดีไซน์ของตัวรถบอกได้เลยว่าดีครับ องศาการเปิดประตูด้านหน้าถือว่ากว้างขึ้นลงได้สบาย ๆ ด้านหลังก็เช่นกัน ความสูงของตัวรถจากพื้นก็ไม่ได้สูงจนเกินไป ก้าวขึ้นลงง่าย