Search
Close this search box.

รีวิวและลองขับ All-New Mitsubishi Triton Athlete (2024) คันนี้ดีกว่าที่คิด!

All-New Mitsubishi Triton Athlete (2024) เครื่องยนต์ใหม่ Hyper Power X2 ดีเซล 2.4L ให้กำลังสูงสุด 204แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่470 นิวตันเมตรครับ แบบ Two-stage Turbocharger ให้ฟิลลิ่งการขับขี่แตกต่างจากรุ่นก่อนโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเร่ง การควบคุม ช่วงล่าง การขับขี่ ใช้งานภาพรวมดีขึ้น

การทดสอบครั้งนี้ เดินทางจากเชียงใหม่ไปเชียงราย ขับกันยาวๆ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพ เริ่มจากอัตราการเร่งพอเหยียบแป้นคันเร่งปุ๊บมาปั๊บ ตอบสนองเร็วมากๆ เลยครับ ประทับใจ ขับสนุกมาก ทั้งในช่วงความเร็วต่ำ กลาง และสูง ถ้าขับในเมือง ขับข้ามจังหวัด บนทางด่วน เครื่องยนต์ใหม่ตอบโจทย์เป็นอย่างมาก ถ้าเปรียบเทียบกับรถคันอื่นซึ่งอาจจะตอบโจทย์การขับในเมือง หรือบางคันตอบโจทย์กับการขับบนทางด่วน หรือบนถนนโล่งมากกว่า แต่ All-New Mitsubishi Triton Athlete (2024) คันนี้ ตอบโจทย์ทั้ง 2 แบบจริงๆ

เรื่องของพวงมาลัยไฟฟ้า จากที่ได้ขับในตัวเมืองเชียงใหม่ ข้ามเขาไปเชียงราย พวงมาลัยเบาแรง น้ำหนักกำลังพอดี ไม่วาจะขับในความเร็วต่ำหรือว่าสูงก็ตาม ซึ่งจะเพิ่มน้ำหนักในการควบคุมตามความเร็วที่สูงขึ้น กริปของพวงมาลัยถือว่าโอเค กระชับดี พวงมาลัยล็อคมือเราได้เวลาควบคุม ฟีลลิ่งให้ความนุ่มนวล ให้อารมณ์แบบการขับรถเก๋งได้เลยครับ

ช่วงล่างใหม่ ให้ความรู้สึกแบบนุ่มนวล เข้าโค้งเกาะถนนได้ดีอยู่พอควร หากจะให้คะแนนเต็ม 10 ได้ 7-8 เลยทีเดียว โดยรวมรู้สึกว่าสมูท ไปได้เรื่อยๆ ทำความเร็วได้โอเค เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าเป็นสายซิ่งคงอยากจะให้แรงกว่านี้อีกนิดครับ

ด้านโครงสร้างของ All-New Mitsubishi Triton Athlete (2024) เป็นโครงสร้างใหม่ MEGA FRAME มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นแต่น้ำหนักเบาลง พอเรามานั่งแล้วรู้สึกได้เลยว่าค่อนข้างใหญ่ กว้าง พื้นที่โปร่งโล่ง ซึ่งจะมีข้อดี และข้อเสีย อย่างเช่นหากเป็นคนตัวเล็กมาขับรถคันนี้ อาจจะต้องปรับเบาะให้สูงขึ้นเพื่อให้เห็นด้านหน้า และเมื่อมองด้านหน้าแล้วจะเห็นถึงฝากระโปรงหน้าซึ่งบอกได้ถึงความใหญ่ของรถคันนี้ และเมื่อหากต้องการขับในเมืองหรือที่แคบ ต้องระวังด้วยเนื่องจากรถมีขนาดใหญ่พอสมควร ทัศนวิสัยด้านหน้าไม่มีปัญหา กระจกข้างโอเค แต่จุดสังเกตคือกระจกมองหลัง จะมีที่พิงศีรษะครับเบาะกลางบังมุมมองด้านหลังจะทำให้เราเห็นภาพไม่ค่อยเคลียร์สักเท่าไหร่

ไฮไลท์เรื่องการเก็บเสียง ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากมอเตอร์ไซค์ จากรถต่างๆ บอกเลยว่าค่อนข้างเงียบ เสียงจากพื้นถนนก็เงียบ ที่จะได้ยินเป็นจริงเป็นจังเลยก็คือเสียงจากเครื่องยนต์ เวลาเราเร่งอย่างคิกดาวน์สั้นๆ จะได้ยินเสียง แต่ยังเบากว่ารถเครื่องยนต์ดีเซลทั่วไปอยู่พอควร ส่วนเสียงลมเมื่อขับ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียงลมจะเข้ามาเป็นปกติครับ

ไฮไลท์เรื่องของการขับขี่อีกอย่าง คือ Two-stage Turbocharger ให้พละกำลังทั้งขับในแรงบิดสูง และแรงบิดต่ำ อีกทั้งมีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 7 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ (Normal), โหมดประหยัดเชื้อเพลิงและรักษ์โลก (Eco), โหมดขับขี่บนทางลูกรังหรือทางฝุ่น (Gravel), โหมดขับขี่บนพื้นหิมะหรือขณะฝนตกผิวถนนเปียกลื่น (Snow), โหมดขับขี่ลุยโคลนหรือผิวทางที่เหนียวลื่น (Mud), โหมดขับขี่ตะลุยทรายหรือผิวทางที่ดินร่วน (Sand) และโหมดไต่หินหรือขับขี่บนผิวทางที่เป็นหินขรุขระ (Rock) ซึ่งต้องใช้งานควบคู่กับโหมดการขับขี่ ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ (4H) ด้วย

ส่วนระบบความปลอดภัยมีมาค่อนข้างครบ อย่าง ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน กล้อง 360 องศา เป็นต้น ส่วนกล้องที่ติดมาให้นั้นมีความละเอียดเออมันคมชัดอยู่พอสมควร และยังสามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay ได้ด้วยครับ

Wireless Charger จ่ายไฟ 15 วัตต์ ซึ่งลองชาร์จมือถือ ประมาณ 40 นาที ได้แบตเตอรี่เริ่มจาก 61% ถึง 74% อยู่แบบระดับสแตนดาร์ดใช้งานได้นะครับ

อัตราสิ้นเปลือง ของ All-New Mitsubishi Triton Athlete (2024) ขับจากเชียงใหม่ไปเชียงราย ระยะทาง 207 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4.30 ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 12.2 กิโลเมตร/ลิตร ด้วยน้ำหนักบรรทุก 2 คน ราว 140 กิโลกรัม ซึ่งหากเป็นข้อมูลจากทางมิตซูบิชิสามารถประหยัดได้ถึง 13.7 กิโลเมตร/ลิตร

บางช่วงมีการขับ ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Athlete มีจุดเด่นคือสามารถเปลี่ยนระบบได้ด้วยความเร็วช่วงไหนก็ไครับ ซึ่งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จะช่วยเรื่องของการทรงตัว ช่วงล่าง ความสมดุล เหมาะมากเวลาขับเข้าโค้งเยอะๆ ขึ้นเขา จะเห็นผลที่แตกต่างกับระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ โดยสิ้นเชิงเลยครับ ซึ่งจะมีข้อสังเกตคือ 4H จะรู้สึกหน่วงๆ ดึงๆ จังหวะที่เร่งความเร็วบ้าง

All-New Mitsubishi Triton Athlete (2024) มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย
รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคา 1,125,000 บาท
รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,298,000 บาท

ถ้าสนใจ และเน้นการใช้งานที่ขึ้นเขา เข้าโค้งเยอะๆ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะได้เรื่องประสิทธิภาพ หากแค่ไม่ได้ใช้งานหนัก ขับในเมืองขับแบบชิวๆ เป็นหลักนะครับ แนะนำรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ แต่จากที่ได้ทดลองใช้งาน ในมุมมองส่วนตัวของผมเชียร์ให้ซื้อรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ เพราะเห็นผลในเรื่องการขับขี่ที่ดีกว่าอย่างชัดเจน มี 4 สีให้เลือกได้แก่ ขาว ดำ เทา เป็นสีออริจินอลที่ดูเท่ และสีส้ม ที่มีฟิลลิ่งการออกแบบได้แตกต่าง เท่เหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าลุยออฟโรดครับ

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ