Search
Close this search box.

All New Toyota Yaris Ativ (2022) กระแสแรง ออฟชั่นมาเต็ม ราคาเบาๆ เบียดคู่แข่งสะเทือน

All New Toyota Yaris Ativ Model 2022 รถกลุ่มอีโคคาร์ ที่เปิดตัวด้วยความร้อนแรง พร้อมเบียดคู่แข่งในทุกมิติ เมื่อเทียบกับคู่แข่งหลากหลายรุ่นอย่าง Honda City, Mazda 2, MG5, Nissan Almera, Mitsubishi Mirage, Mitsubishi Attrage, Suzuki Ciaz, Suzuki Swift, Suzuki Celerio

รถรุ่นที่ทดสอบวันนี้ได้แก่ All New Toyota Yaris Ativ รุ่น Premium Luxury ราคาจำหน่ายที่ 689,000 บาท

ดีไซน์ภายนอก

โดยรวมเหมือนการนำจุดเด่นของรถหลากหลายรุ่นมาผสมผสานได้อย่างลงตัว เริ่มจากกระจังหน้ามีความคล้ายกับ Toyota Altis ส่วนไฟหน้าคล้ายกับ Toyota Camry แต่ด้วยขนาดที่เล็กกว่าอาจจะไม่เหมือนกันสะทีเดียว ซึ่งไฟหน้าที่ได้มาในรถคันนี้นั้นไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟตัดหมอก ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ไฟเบรกดวงที่ 3 เป็น LED ทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็น Full LED ถือว่าเป็นออฟชั่นที่เยี่ยมมากทีเดียว

ส่วนสิ่งที่พิเศษอีกอย่างด้านหน้าของรถคันนี้คือ กล้องหน้ารถ นั่นจะหมายความว่ารถคันนี้มีกล้อง 360 องศา และยังจัดเต็มด้วยระบบความปลอดภัยอย่างเซ็นเซอร์ต่างๆ อีกด้วย

มุมมองด้านข้างมิติ ทั้งด้านบน และด้านล่าง เส้นสายมีเสน่ห์ไม่เบาทีเดียว โดยความยาวของตัวรถบางมุมดูแล้วอาจจะมีขนาดยาวมากกว่าหรือน้อยกว่าในรูป ผู้ที่สนใจจึงควรไปดูคันจริงก่อน มาที่ประตู เมื่อลองเปิดประตูด้านหน้า และด้านหลัง มีองศาที่เปิดได้กว้างขวางพอสมควร กระจกมองข้างยังมีกล้อง 360 องศา และประตูเปิดด้วยกุญแจรีโมท และที่ขาดไม่ได้คือ มีโลโก้ครบรอบ 60 ปี อยู่ด้วย มาต่อกันที่ล้อที่มีความสวยหรู ขนาด 195/60 R16 ส่วนระบบเบรกหน้า-หลัง เป็นดิสก์เบรกทั้งคู่ แต่สำหรับรถรุ่นเริ่มต้น เบรกด้านหลังจเป็นดรัมเบรก สำหรับด้านท้ายมีดีไซน์หรูดูคูเป้สปอร์ต และได้เรื่องแอโรไดนามิค ที่ส่งให้รถมีสมรรถนะดีขึ้น

ด้านท้ายมาในสไตล์ Toyota Altis ทั้งแทบใต้โลโก้ แทบด้านล่าง และด้านข้าง ดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น เมื่อเปิดกระโปรงหลัง เป็นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ กว้างขวาง และลึกเข้าไปพอสมควร สามารถใส่กระเป๋าเดินทางเข้าไปได้ 2-3 ใบสบายๆ และยังมีกิมมิกในการเก็บของด้านหลังที่ซ่อนของที่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นได้ อย่าง รองเท้า เป็นต้น เพื่อความเนียบ และเป็นการแบ่งสัดส่วนเก็บของได้ดีเหมือนกัน นอกจากนี้เปิดด้านใต้ยังมีที่เก็บของเพิ่มเติม แต่ที่สำคัญรถคันนี้ไม่มียางอะไหล่ให้มา ส่วนการพับเบาะนั้นไม่สามารถทำได้

ดีไซน์ภายใน ห้องโดยสารเป็นสีแดง ผสมสีดำ สไตล์สปอร์ต มีเสน่ห์ คล้ายๆ Toyota Cross ซึ่งรุ่นย่อยอื่นๆ ภายในจะเป็นโทนสีดำ ซึ่งหากจะให้เลือกจะแนะนำรุ่นรองท็อปซึ่งเป็นภายในสีดำ ภายในรถคันนี้ด้านคอนโซนหน้า และด้านข้างประตูที่เป็นสีแดงจะมีความนุ่มกว่าในส่วนที่เป็นสีดำ

เบาะนั่งเป็นแบบปรับด้วยมือ เบาะสีแดงดีไซน์เป็นลายข้างหลามตัด มีมิติ มีลูกเล่นมากยิ่งขึ้น กระจกมองด้านหลังเป็นแบบรีเฟล็กซ์ ซึ่งไม่ค่อยถูกใจ หน้าจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งชอบตัวเลขแสดงความเร็วขนาดใหญ่ แต่ดีไซน์ดูมีความเป็นผู้ใหญ่สไตล์โตโยต้าเหมือนเดิม ส่วนหน้าจอ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ขนาด 9 นิ้ว มีสีสันขึ้นมานิดนึง มีกรอบของปุ่มสีต่างๆ เชื่อมต่อ Android Auto และ Apple CarPlay เมื่อเข้าเกียร์ R จอจะแสดงผลกล้อง 360 องศา และมุมมองด้านหลัง คล้ายๆ กับ Mazda แต่สำหรับจอของรถคันนี้จะใหญ่กว่า และเมื่อหมุนพวงมาลัย เส้นแสดงผลในจอก็จะหมุนตามด้วย ด้านระบบแอร์ไม่ได้เป็นแบบแยกส่วน แต่มีการกรอง PM 2.5 มี USB และที่เก็บของ ตามด้วยปุ่มเบรกมือไฟฟ้า Auto Break Hold ภายในมีไฟ Ambient ซึ่งปรับเป็นสีต่างๆ ได้ ซึ่งจะมองเห็นง่ายกว่าหากอยู่ในช่วงกลางคืน คอนโซนกลางระหว่างเบาะยังมีที่วางแขนที่ยาวไว้สำหรับพักแขนได้สะดวกมากขึ้น เมื่อเปิดขึ้นมาจะเป็นที่เก็บของขนาดใหญ่ มองไปด้านบน พับที่บังแดดด้านคนขับลงมาจะเปิดเป็นกระจกขนาดใหญ่ เสียดายไม่มีไฟส่องหน้า ส่วนฝั่งตรงข้ามคนขับที่บังแดดไม่มีกระจกติดมาให้

เบาะด้านหลังมีลักษณะเหมือนด้านหน้า ฟิลลิ่งโดยรวมจะเหมือนกัน แต่เบาะแถวหลังจะสูงกว่าเบาะด้านหน้านิดหน่อย ทำให้เฮดรูมสำหรับคนสูง 170 ซม. จะเหลือที่ค่อนข้างน้อย มีความรู้สึกชิดๆ ด้านบน แต่ถ้าใช้งานเฉพาะเบาะหน้า หรือด้านหลังไว้สำหรับเด็กนั่ง ก็ไม่มีปัญหา และสิ่งที่น่าเสียดายอีกอย่างคือ ไม่มีที่วางแขน ที่วางแก้ว เพราะพับเบาะหลังลงมาไม่ได้ แต่มีที่วางแก้วที่ช่วงกลางประตูเบาะหลังขนาดใหญ่เบ้อเร่อเท่อเลยทีเดียว

แอร์ด้านหลังมีให้และมีช่อง USB 2 ช่อง หลังเบาะคู่หน้ามีช่องเก็บของ Leg Room กว้างขวาง แต่ถ้ากว้างสุดจะเป็น Honda ตามด้วย Toyota และ Mazda ซึ่งหากจะลองนอนเบาะหลังยังหาจุดลงตัวไม่ค่อยได้ ซึ่งอยากให้มาลองกันก่อนจะตัดสินใจซื้อครับ

สมรรถนะกับการทดลองขับ All New Toyota Yaris Ativ เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 94 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 110 นิวตันเมตร บนเส้นทางบางนา – พัทยา โดยมีตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ ECO สติกเกอร์ 23.3 กม./ลิตร แต่จากประสบการณ์ที่ทดลองขับมักจะไม่ได้ตามตัวเลขที่แจ้งไว้ โดยระยะทางที่ทำได้จะต่ำกว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งอยู่ที่การขับขี่ของแต่ละคน ซึ่งการทดลองขับครั้งนี้จะเป็นการขับขี่แบบปกติทั่วไป พร้อมทั้งทดลองโหมดการขับขี่ต่างๆ ด้วย ระยะทางหลังจากออกมาประมาณ 40 กิโลเมตรแล้ว ให้ความรู้สึกคือภาพลักษณ์ของโตโยต้า ทั้ง ช่วงล่าง การเข้าโค้ง การทรงตัว โครงสร้างของตัวรถ รู้สึกมั่นใจมาก แต่ถ้าการขับขี่แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1 สายสปอร์ต เน้นรวดเร็วทันใจ อาจไม่ตอบโจทย์ 2 หากใช้งานในเมือง ในชีวิตประจำวัน ขับรถไปทำงาน รถที่ดีในราคาที่ OK ถือว่าตอบโจทย์

เมื่อเปรียบเทียบกับรถรุ่นก่อน รู้สึกแรงกว่า แต่ไม่แตกต่างกันมากมายนัก การทำความเร็ว 80-120 กม./ชม. จะใช้เวลาค่อนข้างนานพอควร ส่วนจังหวะ 120-130 กม./ชม. สามารถทำความเร็วได้ช้าเรื่อยๆ หากจะแซงสักครั้งอาจจะไม่เร็วทันใจ ซึ่งสมรรถนะการขับขี่จะเหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่าวัยรุ่น

ส่วนการควบคุมพวงมาลัยถือว่ามีน้ำหนักเหมาะมือ ซึ่งหากความแรงยังไม่ทันใจ สามารถเปลี่ยนโหมด โดยการกดปุ่ม Drive ที่พวงมาลัย ให้เป็นโหมด Power จะมีเครื่องหมายแสดงที่กลางหน้าจอ และจะให้ความแรงที่มากขึ้น ทำความเร็วได้ดีขึ้น รู้สึกเหมือนน้ำหนักตัวรถโดยรวมจะเบาลง ความเร็ว 80-120 กม./ชม. ทำเวลาได้ดีกว่าโหมดปกติ เร็วขึ้นอย่างชัดเจน แต่ยังไม่เร็วทันใจสะทีเดียว ซึ่งจะตามมาด้วยการกินน้ำมันมากขึ้นด้วย

ซึ่งหากต้องการจะเปลี่ยนเป็นโหมดปกติ ก็เพียงกดปุ่ม Drive อีกครั้งเท่านั้นเอง ต้ากดข้างไว้จะมีสัญลักษณ์ ECO แสดงที่ขวามือของหน้าจอ

หลังจากขับมาได้ระยะทางประมาณ 70 กม. แล้ว ความรู้สึกในการขับขี่ เบาะนั่งสบาย ไม่เมื่อย แต่ไม่รู้สึกกระชับสะทีเดียว ทัศนวิสัยในการมองด้านหน้าถึงจะมีอุปกรณ์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้สึกบังแต่อย่างใด ด้านเสียงลมเมื่อทำความเร็วมากกว่า 120 กม./ชม. จะได้ยินเสียงลมชัดเจน ส่วนเสียงเครื่องยนต์ เมื่อเร่งเครื่องจะได้ยินเสียงชัดเจน แต่การขับขี่ในเมืองไม่น่ามีปัญหานี้ เพราะไม่ได้ทำความเร็วสูงเหมือนขับนอกเมืองอย่างเส้นทางนี้ มุมมองกระจกมองหลังกว้างขวาง นอกจากนั้นยังมีที่วางขวดน้ำในด้านขวาของคนขับที่สะดวก และแอร์เป่าจนน้ำเย็นทีเดียว

การออกแบบตำแหน่งคันเกียร์ กับการปรับแอร์ ไม่ค่อยลงตัว เนื่องจากระหว่างขับรถจะปรับแอร์ ต้องเอื้อมมือหลบคันเกียร์อยู่บ้าง แต่ถ้าปรับให้ที่ปรับแอร์ หน้าจอกลาง สูงขึ้นมาอีกนิดจะสะดวกขึ้นกว่านี้ แต่หากสูงขึ้นมาแล้วหน้าจออาจจะบังทัศนวิสัยด้านหน้าอีกนิดด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้น สำหรับช่วงล่าง เมื่อมีการเปลี่ยนเลนไม่มีการโยนตัว ถึงแม้จะอยู่ในช่วงความเร็วสูง 120-125 กม./ชม. ก็ตาม

ระบบความปลอดภัย ที่ชอบนั้นมี ระบบ Blind Spot Monitor ที่กระไฟกระพริบเตือนที่กระจกมองข้าง แต่ไม่มีเสียงเตือน ซึ่งอีโคคาร์มีมาขนาดนี้ถือว่า OK แล้ว และยังมีระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยดึงกลับอัตโนมัติ ซึ่งใช้งานจริงเมื่อออกนอกเลน จะมีเสียงเตือนและดึงเข้าเส้นทางหลัก และเตือนให้จับพวงมาลัยด้วย นอกจากนั้นเมื่อขับใกล้คันหน้าจะมีระบบเตือนการชนด้านหน้า ที่มีทั้งเสียง และไฟเตือนควบคู่กัน ซึ่งระบบความปลอดภัยต่างๆ มีมาให้ครบครัน และสามารถเลือกเปิด-ปิดการใช้งานได้ด้วย

เมื่อขับมา 92 กิโลเมตรแล้ว อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 15.7 กม./ลิตร ซึ่งระยะทางที่ผ่านมาเป็นการขับที่ไม่ได้ประหยัด และขับด้วยความเร็ว ส่วนใหญ่เป็นทางตรงบนทางด่วนด้วย

เรื่องระบบเบรก ทดสอบด้วยความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. เบรกได้อย่างนุ่มนวล ไม่กระชาก ถึงแม้จะแตะเบาๆ หรือจะกดหนักๆ ก็ยังเนียนใช้ได้ทีเดียว

การขับทางชัน อย่างการขึ้นเขาก็สามารถไปได้ แต่จะไม่ได้เร่งได้ปรู๊ดปร๊าดทันใจ ซึ่งจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ทำงานมากขึ้น รอบเครื่องสูงขึ้นในทางชัน อย่างเห็นได้ชัด

การขับขี่ในเมือง ความรู้สึกเหมือนขับข้ามาก แต่ที่จริงแล้วขับด้วยความ 60 กม./ชม. ทีเดียว ซึ่งเหมาะกับขับขี่ในเมือง เมื่อเร่งความเร็วจะไม่รู้สึกออกตัวพุ่งไปอย่างชัดเจน วิ่งไปได้อย่างเนียนๆ แต่จะได้ยินเสียงเครื่องยนต์เร่งอย่างชัดเจน ซึ่งหากไม่ขับเกิน 120 กม./ชม.จะไม่ได้ยินเสียงอื่นๆ รบกวนมากนัก

ทดสอบ 0-100 กม./ลิตร ทำความเร็วใน 13 วินาที

โดยสรุป จากความเห็นส่วนตัวเมื่อเปรียบเทียบเรื่องราคา OK เมื่อเทียบกับ Honda City หรือ Mazda 2 ส่วนด้านดีไซน์ และพละกำลัง Honda City หรือ Mazda 2 ในบางจุดก็ยังดีกว่า Toyota Yaris Ativ คันนี้ ซึ่งนอกเหนือจากนั้น รถคันนี้ก็ยัง OK กว่า

ส่วนอีโคคาร์อื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งคงสู้สมรรถนะของเจ้าตลาด 3 แบรนด์นี้ไม่ได้ แต่หากจะสู้ได้คงเป็นเรื่องราคา เช่น Suzuki Swift เมื่อเทียบกับ Toyota Yaris Ativ รุ่นเริ่มต้น แล้วราคาก็ใกล้เคียงซึ่งต้องมาเปรียบเทียบกันหลากหลายด้านด้วยเช่นกัน

สุดท้ายอัตราสิ้นเปลืองตลอดเส้นทาง บางนา – สัตหีบ อยู่ที่ 14 กม./ลิตร ซึ่งนับรวมการจอดรถเพื่อถ่ายทำรายการด้วย ทำให้อัตราสิ้นเปลืองไม่ปกติ ซึ่งหากดูอัตราสิ้นเปลืองก่อนหน้านี้จะอยู่ที่ประมาณ 16 กม./ลิตร เป็นตัวเลขจากการทดสอบทั้งขับในความเร็วสูง และทดลองระบบต่างๆ ดังนั้น หากขับแบบปกติอาจจะประหยัดไปได้ถึง 19 กม./ลิตร ทีเดียว

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้ครับ