Search
Close this search box.

New MG VS HEV แรงสะใจ ออฟชั่นจัดเต็ม เสียดายคนขับอึดอัดไปหน่อย

New MG VS HEV มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น D ราคา 859,000 บาท รุ่น X ราคา 919,000 บาท ซึ่งมีคู่แข่งที่มาเปรียบเทียบกันได้แก่ Nissan Kicks ที่มีราคา และสเป็กใกล้เคียงกัน หรือจะเป็นรถกลุ่ม B-SUV อย่าง Mazda CX-30, Toyota Corolla Cross, Honda HR-V, Haval Jolion เป็นต้น

New MG VS HEV เป็นรถไฮบริดรุ่นที่ 2 ในกลุ่มนี้ต่อจาก Honda HR-V ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า ให้กำลังแรงพอสมควร มีพลังงานแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 2.13 กิโลเมตร-ชั่วโมง

ระบบเบรก ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรก พร้อมช่องระบายความร้อน ด้านหลังเป็นดิสก์เบรก เช่นเดียวกัน ส่วนระบบช่วงล่างช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบ อิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบ ทอร์ชันบีม

ไฮไลท์ของคันนี้ คือการเร่ง และมีออฟชั่นที่ครบอยู่พอสมควร ส่วนข้อเสียก็มีเหมือนกันอย่างเช่น การเปิดประตูที่เปิดได้กว้าง แต่ตอนปิดอาจจะต้องปิดประตูแรงมากขึ้นสักนิดนึง และประตูท้ายไม่ได้เปิด-ปิดไฟฟ้า ซึ่งจะไม่สะดวกสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากไม่มีที่จับถนัดมือ และพวงมาลัยไม่สามารถปรับระดับเข้าออกได้ ปรับได้แค่ขึ้น-ลงเท่านั้น

สมรรถนะกับการทดลองขับ

New MG VS HEV เริ่มจากการทดลองขับความเร็วต่ำในลานจอดรถเพื่อ จำลองการขับในเมือง เมื่อเข้าเกียร์ D ปล่อยไหลแบบไม่เหยียบคันเร่ง รถเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ เมื่อเหยียบคันเร่ง ทำความเร็วได้ดีอยู่ แต่ช่วงแรกๆ ที่เหยียบคันเร่งจะใช้เวลานิดนึงในการทำรอบขึ้นมา แต่พอได้รอบความเร็วแล้วจะส่งตัวออกไปได้เลย

ลองขับออกถนนจริง เพื่อดูไฮไลท์อยู่ที่พละกำลัง หรือความแรงของ New MG VS HEV ที่มีถึง 177 แรงม้า เริ่มจากรถหยุดนิ่ง เข้าเกียร์ D แล้วปล่อยไหล จะใช้เวลาสักพักก่อนรถจะออกตัว แต่การขับขี่นั้นจะอยู่ที่ความคุ้นเคย ความเคยชินเมื่อขับไปสักพักจะจับจังหวะได้เอง

ลองเหยียบคันเร่ง แบบครึ่งๆ รถจะมีอาการพุ่งๆ เล็กๆ น้อยๆ ไม่เนียนสะทีเดียว ในย่านความเร็วต่ำ ประมาณ 0-30 กิโลเมตร / ชั่วโมง หลังจากนี้จะลองเร่งความเร็วไปถึง 60 กิโลเมตร / ชั่วโมง และเร่งไปถึง 100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ก็ถือว่าเร็ว แรง การทรงตัวถือว่าโอเค แต่มีอาการโยนอยู่บ้างเล็กน้อย ซึ่งคนขับอาจจะไม่รู้สึกอาการนี้เมื่อเทียบกับคนนั่งแถวหลัง

การเข้าโค้งด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตร / ชั่วโมง ถือว่าโอเค ซึ่งอาจจะมีอาการโยนเล็กๆ น้อยๆ ไม่เยอะมากสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเร่งความเร็วถึง 120 กิโลเมตร / ชั่วโมง ด้านท้ายจะมีอาการโยนตัว ที่สัมผัสได้เลย ด้านการขับด้วยความเร็วสูง สามารถทำได้ถึง 182 กิโลเมตร / ชั่วโมง และยังสามารถไปได้อีก แต่เพื่อความปลอดภัยจึงยกคันเร่งไว้เพียงเท่านี้ ซึ่งนี่เป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น

ด้านแบตเตอรี่ที่ใช้พลังงานไปเมื่อเร่งความเร็ว จากที่เต็มๆ อยู่นั้นลดลงไปพอสมควร ซึ่งความแรงที่ได้มาถือว่าแรงที่สุดในคลาสนี้ ไม่ว่าจะเป็น Nissan Kicks, Mazda CX-30, Toyota Corolla Cross, Honda HR-V, Haval Jolion ถ้าจะสู้จริงๆก็มีแต่ Honda HR-V ที่สู้ได้

ด้านแบตเตอรี่ที่ใช้พลังงานไปเมื่อเร่งความเร็ว จากที่เต็มๆ อยู่นั้นลดลงไปพอสมควร ซึ่งความแรงที่ได้มาถือว่าแรงที่สุดในคลาสนี้ ไม่ว่าจะเป็น Nissan Kicks, Mazda CX-30, Toyota Corolla Cross, Honda HR-V, Haval Jolion ถ้าจะสู้จริงๆก็มีแต่ Honda HR-V ที่สู้ได้

ทดสอบความเร็ว 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง โหมด Comfort ใช้เวลา 10 วินาที เหยียบคันเร่งมิด แต่กว่าจะออกตัวต้องรอประมาณ 2-3 วินาที

ทดสอบความเร็ว 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง โหมด Sport ใช้เวลา 9 วินาที การออกตัวแตกต่างกับโหมด Comfort

ลุยกันต่อด้วยการหักเลี้ยวกลับรถ ใช้วงเลี้ยวแคบประมาณ 1 รอบครึ่ง และเรื่องเกาะถนน นั้นยังสู้ Mazda, Toyota, Honda ไม่ได้

ทอลองปรับโหมด KERS ที่ระดับ 1 2 3 ที่ชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่นั้น ด้วยความเร็วประมาณ 50 กิโลเมตร / ชั่วโมง ในระดับ KERS 1 2 3 จะเห็นความต่างเมื่อยกคันเร่ง รถจะดึงตัวมากขึ้นตามลำดับการปรับโหมดชาร์จไฟ แต่ไม่ถึงกับกระชาก เมื่อเปรียบเทียบกับ Nissan Kicks ในระบบชาร์จไฟกลับนั้น จะรู้สึกดึงอย่างเห็นได้ชัด เพียงยกคันเร่งแล้วแทบไม่ต้องเหยียบเบรกเลย การขับจะให้แนะนำ KERS ระดับ 3 เพื่อจะได้ชาร์จไฟได้รวดเร็ว แต่หากไม่คุ้นชินกับการกระตุก หรือดึงตัวหลังจากถอนคันเร่ง แนะนำให้ปรับเป็น KERS 2 ซึ่งสามารถดูได้จากหน้าปัด และกดปุ่ม KERS ข้างคันเกียร์

การขับขี่โดยรวม มีทัศนวิสัยกว้าง มองได้ชัดเจน ระบบความคุมต่างๆ บนหน้าจอโอเค แต่การปรับแอร์ที่คอนโซนกลาง ให้โดนหน้าคนขับ อาจจะไม่ค่อยโดน คนขี้ร้อนอาจจะหงุดหงิดได้ แต่แอร์ด้านขวาของคนขับก็สามารถช่วยได้

การขับด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตร / ชั่วโมง จะได้ยินเสียงลมเข้าเป็นมาตรฐาน เสียงถนนในระดับความเร็ว 90-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ยังได้ยินเสียงถนนเข้าห้องโดยสาร ถือว่าไม่ได้เงียบสะทีเดียว คล้ายๆ กับ Honda HR-V และเมื่อขับบนทางด่วน จะรู้สึกถึงแรงปะทะของลมกับตัวรถ ทำให้รู้สึกแกว่งๆ นิดนึง

ด้านภายในห้องโดยสารที่ดูแล้วกว้างขวาง แต่เมื่อมานั่งขับจริงแล้ว ตำแหน่งคนขับแคบ ติดที่คอนโซลกลางที่ขาด้านซ้ายคนขับที่มีขนาดใหญ่ เบาะนั่งมีขนาดเล็ก นั่งไม่สบาย ด้วย ตัวเบาะที่มีลายไม่เรียบเป็นชิ้นเดียวกันจะดันตัวคนขับ แต่หากคนขับเป็นผู้หญิงอาจจะไม่รู้สึกอะไรแบบนี้ ซึ่งทำให้ภาพรวมเหมาะกับผู้หญิงสะมากกว่า การตั้งค่าพวงมาลัยตั้งไว้ที่ระดับเบาสุด ซึ่งยังรู้สึกว่าหนักอยู่ และหากเป็นผู้หญิงขับแล้วอาจจะหนักอยู่

สำหรับระบบกล้อง 360 องศา จะแสดงผลเมื่อจอดรถหรือความเร็วต่ำ และมีในรุ่นท็อป เท่านั้น ส่วนเรื่องระบบความปลอดภัย New MG VS HEV ให้มาเยอะมาก เรียกได้ว่า The Best ในกลุ่ม B-SUV เสียดายที่ไม่มีระบบ Blind Spot, Lane Change สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือ จอเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ขนาด ขนาด 12.3 นิ้ว มี Wireless Charger ขนาดใหญ่

ย้ายมานั่งเบาะหลัง MG VS คันนี้ให้พื้นที่ Leg Room กว้างขวาง กว้างกว่า Honda HR-V ด้วยซ้ำไป แต่ที่กว้างเพราะเบาะด้านหลังสั้น นั่งแรกๆ อาจจะรู้สึกไม่ชิน แต่ใช้งานไประยะหนึ่งจะชินไปเอง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเบาะนั่งคนขับที่อึดอัดแล้ว ทำให้เบาะหลังนั่งสบายๆ ทีเดียว และเสียดายไม่มีที่วางแขนกลางเบาะหลัง แต่มีแอร์หลัง เย็นระดับกลางๆ ไม่ได้เย็นฉ่ำ และไม่รู้สึกร้อน

หลังจากขับรถคันนี้มาประมาณ 3 ชั่วโมงแล้ว มีอัตราสิ้นเปลืองประมาณ 12 กิโลเมตร / ลิตร ด้วยระยะทาง 106 กิโลเมตร ซึ่งตัวเลขจากทาง MG แจ้งมาจะอยู่ที่ประมาณ 14-17 กิโลเมตร / ลิตร แต่ด้วยการขับทดสอบครั้งนี้มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งจะแก้ไขได้ด้วยการปรับโหมดเป็น ECO รวมทั้งปรับ KERS เป็นระดับ 3 ซึ่งหากขับแบบทั่วไปแล้วสามารถทำตัวเลขได้ตามที่แจ้งมา

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้ครับ