Search
Close this search box.

ขับ MG3 Hybrid+ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ใช้น้ำมัน 1 ถัง !

มีโอกาสได้ลองขับ MG3 Hybrid+ จากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ เมื่อไม่นานมานี้ เป็นอีกหนึ่งทริปที่ขับกันตั้งแต่เช้า ยันมืด เริ่มจากกรุงเทพฯ อยุธยา สิงห์บุรี พักเบรกที่ นครสวรรค์และที่จังหวัดตาก 2 จุด ก่อนขับไปสู่จุดหมายปลายทางถึงตัวเมือง จ. เชียงใหม่

ขับ MG3 Hybrid+ กันครั้งนี้มีเงื่อนไขเดียวที่ท้าทายด้วยการเติมน้ำมันเต็มถังขนาดความจุ 36 ลิตร จะไปได้ไกลแค่ไหน เป้าหมายของเรา จ.เชียงใหม่ ระยะทาง 600 กว่ากิโลฯจะพอหรือไม่ ? โดยเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองนั้นทางค่าย MG เคลมไว้อยู่ที่ 26.2 กิโลเมตร / ลิตร (NEDC)

MG3 Hybrid+ มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย เริ่มต้นได้แก่ รุ่น D และ รุ่น X รุ่น X เป็นรุ่นท็อปสุดซึ่งคันที่ผมขับคือรุ่น X แต่ทั้ง 2 รุ่นนี้ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนก็ตามสมรรถนะการขับขี่จะเหมือนกัน จะต่างกันตรงที่ออฟชั่นที่ติดมากับตัวรถเท่านั้นนั่นเอง

ขับสตาร์ทออกจากกรุงเทพฯจากโรงแรมฝั่งตรงข้ามสนามบินดอนเมือง ออกกันแต่เช้าขับไปเรื่อยๆมุ่งหน้าสู่นครสวรรค์ เป้าหมายแรกที่จะเช็คดูว่าสิ้นเปลืองน้ำมันไปสักเท่าไหร่?

เราขับกันใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งกับระยะทาง 223 กิโลเมตร ก็ถึงนครสวรรค์ เราไม่ได้ขับแบบประหยัด จำกัดความเร็วเหมือนอย่างที่เขาขับแข่งๆกัน ครั้งนี้เราขับกันตามปกติ ช้าบ้าง เร็วบ้าง รถติดบ้าง ขับตามสภาพจราจรที่แท้จริง พอถึงนครสวรรค์ก็มาดูอัตราสิ้นเปลืองบนหน้าจอกัน

สรุปว่าช่วงขับจากกรุงเทพฯถึงนครสวรรค์ตัวเลขโชว์อยู่ที่ 19.6 กิโลเมตร / ลิตร และบนหน้าจอยังแสดงบอกระยะทางว่ายังสามารถวิ่งไปได้อีก 512 กิโลเมตร ... ถือว่าโอเคเลยนะครับ

แวะนครสวรรค์พักใหญ่ๆทานข้าวกันเสร็จสรรพก็มุ่งหน้าขับกันต่อไปมุ่งหน้าสู่ จังหวัดตาก พักจ.ตากสักครู่ เราก็ขับกันต่อไปจังหวัดเชียงใหม่เป้าหมายของเรากัน

พอถึงเชียงใหม่ ปั๊ม ปตท.ก่อนเข้าตัวเมือง เราดูระยะทางทั้งหมดขับมา 661 กิโลเมตร ใช้เวลา 8.12 ชั่วโมง ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองบนหน้าจอแสดงผลที่ 19.6 กิโลเมตร / ลิตร และบนหน้าจอแสดงผลว่าน้ำมันหมดเกลี้ยงถังเลยครับ

เราก็เติมน้ำมันกันที่ปั๊ม ปตท.แห่งนี้ เติมแก๊สโซฮอลล์ 95 เติมไปเต็มถังได้อีก 34 ลิตร (แสดงว่าน่าจะเหลือติดก้นๆถังอยู่ 2 ลิตร) คิดเป็นอัตราสิ้นเปลืองประมาณ 19.45 กิโลเมตร / ลิตร

ตัวเลขนี้สำหรับผมถือว่าดีทีเดียวครับ

ช่วงที่ขับจากนครสวรรค์มาจังหวัดตาก เรามีโอกาสใช้ความเร็วในทุกระดับทั้งสูง กลาง ต่ำ ตัวนี้ตอบสนองทำได้ดีมากๆ ไม่อืด เนื่องจากรถไฮบริดทำงานทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ ควบคู่กัน อัตราเร่งตอบสนองดีมาก ที่น่าเรียนรู้เรื่องหนึ่งคือการเลือกขับโหมดแบบ EV / HEV เราจะไม่สามารถเลือกเองได้ จะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่ของเรา หากขับแบบประหยัดเรื่อยๆ ไม่ทำความเร็วมากระบบก็จะอยู่ในโหมดขับแบบ EV แต่หากขับด้วยความเร็วระบบก็จะทำงานด้วย HEV และที่สำคัญยังสามารถตั้งค่า KERS เพื่อชาร์จพลังงานกลับได้ 3 ระดับอีกด้วย ซึ่งเราสามารถดูการทำงานได้บนหน้าจอคนขับ และการตั้งค่าที่หน้าจอเอนเตอร์เทนเมนท์

ได้ลองนั่งที่เบาะหลัง ภาพรวมถือว่าโอเค อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้กว้างและก็ไม่ได้แคบ เฮดรูมอาจจะชิดไปหน่อย สำหรับความสูงระดับ 170 เซนติเมตร ส่วนเรื่อง Leg Room ค่อนข้างกว้าง แต่ไม่สามารถเหยียดขาได้สุด ซึ่งภาพรวมๆถือว่านั่งสบาย เบาะนั่งไม่ชัน เอนได้ระดับนึงถือว่าโอเค

แต่มีข้อสังเกตเรื่องการเก็บเสียงนิดหน่อยครับ ในส่วนเบาะด้านหน้าไม่มีปัญหา แต่เบาะหลังจะมีเสียงรบกวนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเสียงรอบๆ เสียงพื้นถนน เสียงล้อ เสียงลม ส่งผลให้การคุยกับคนนั่งด้านหน้า หรือฟังเพลง จากเบาะหลังอาจจะไม่ได้ชัดมากนัก ส่วนที่วางแขนตรงกลางเบาะหลังจะไม่มีให้หากต้องการวางของหรือแก้วน้ำต้องอาศัยแผงประตูด้านข้าง ส่วนแอร์ด้านหลังรุ่นนี้มีติดมาให้ด้วย

ที่น่าสังเกตุอีกจุดหนึ่งก็คือที่นั่งเบาะหลังนั้นตรงใต้เบาะจะเป็นจุดวางของตำแหน่งแบตเตอรี่ ถ้าหากขับด้วยความเร็วสูง หรือคิ๊กดาวน์ เร่งความเร็วเรื่อยๆ คนที่นั่งเบาะหลังจะรู้สึกว่าเบาะอุ่นๆ เนื่องจากแบตเตอรี่จะทำงานค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าหากขับแบบเรื่อยๆ ก็จะปกติ ไม่รู้สึกอะไร

MG3 Hybrid+ เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก เปรียบเทียบได้กับ Honda City, Yaris Ative, Nissan Almera, Mazda 2 ซึ่งเป็นรถทรงกะทัดรัด ด้านท้ายอาจจะไม่ได้กว้างสักเท่าไหร่นัก ใส่กระเป๋าเดินทางได้ใบนึงก็โอเคแล้ว แต่หากต้องการพื้นที่เพิ่มก็สามารถพับเบาะแถวที่สองได้

ไฮไลท์ของ MG3 Hybrid+ นี้คือเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ทำงานผสานกับ มอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่เป็น Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ถือว่าใหญ่พอควร เลือกขับขี่ได้ 3 โหมดมี NORMAL, ECO และ SPORT ส่วนการทำงานของระบบไฮบริดจะมี 2 แบบ คือ EV และ HEV ซึ่งจะขึ้นแสดงอยู่ที่จอคนขับมุมขวาล่าง ถ้าหากขึ้น EV นั่นหมายความว่าเครื่องยนต์จะทำงานจากมอเตอร์อย่างเดียว แต่หากขึ้น HEV คือเป็นระบบการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งไม่ว่าจะขับโหมดไหน ทาง MG บอกว่าจะช่วยประหยัดน้ำมันได้จริงทั้งนั้น

MG3 Hybrid+ คันนี้ ใช้ยาง Lancaster สัญชาติจีนจาก เจนเนอรัล รับเบอร์ ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนยางสามารถไปศูนย์บริการเอ็มจี หรือถ้าอยากจะได้ประสิทธิภาพที่ดีมากกว่านี้ ก็สามารถเปลี่ยนยางเป็นแบรนด์อื่นเลยก็ได้

ส่วนระบบความปลอดภัยของ MG3 Hybrid+ คันนี้ให้มามากมาย เสียดายไม่มี Blind Spot มาด้วย แต่ระบบอื่นๆ มีมาให้อย่างระบบเตือนออกนอกเลน กล้อง 360 องศา รวมถึงระบบอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น Apple CarPlay, Android Auto สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายได้ โดยควบคุมได้ผ่านทางหน้าจอกลาง ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดแล้วด้วยครับ

MG3 Hybrid+ คันนี้ ใช้ยาง Lancaster สัญชาติจีนจาก เจนเนอรัล รับเบอร์ ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนยางสามารถไปศูนย์บริการเอ็มจี หรือถ้าอยากจะได้ประสิทธิภาพที่ดีมากกว่านี้ ก็สามารถเปลี่ยนยางเป็นแบรนด์อื่นเลยก็ได้

สรุปโดยรวมรวบรัดตัดความขับ MG3 Hybrid+ขนาดเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร พละกำลัง 194 แรงม้า มีความจุถังน้ำมันขนาด 36 ลิตรนี้จากกรุงเทพฯมาถึงเชียงใหม่รวมระยะทาง 661 กิโลเมตรนั้นทำได้แจ่มแจ๋วจริงๆครับ

MG3 Hybrid+ มีจำหน่ายแล้วมีให้เลือก 2 รุ่น รุ่น D ราคา 579,900 บาท และรุ่น X ราคา 619,900 บาท