Search
Close this search box.

KIA EV5 SUV ไฟฟ้า 100% ลองขับแล้ว เป็นอย่างไร ?

ไม่นานมานี้ บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แถลงข่าวเปิดตัวรถ SUV ขนาดกลางคือ KIA EV5 ซึ่งเป็นรถไฟฟ้า 100% ออกมาสู้รบในตลาดเมืองไทยอีกแบรนด์หนึ่ง

โดย KIA EV5 จะมีให้เลือก 4 รุ่นย่อยๆตามนี้ครับ
EV5 Light : 1,299,000 บาท
EV5 Air : 1,399,000 บาท
EV5 Earth Long Range : 1,599,000 บาท
EV5 Earth Exclusive AWD : 1,799,000 บาท
ซึ่งรุ่นท็อปจะมีตู้แช่ให้รุ่นเดียวเท่านั้น ส่วนสีมีให้เลือก 5 สี ได้แก่ เขียว เทา ขาว ฟ้า และ ดำ

พอเปิดตัวเสร็จก็พาสื่อมวลชนไปทดสอบ ทดลองขับกันเพื่อพิสูจน์ว่า SUV ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มเปี่ยม 100% นั้นเป็นอย่างไร แบตเตอรี่จะวิ่งได้ตามที่โฆษณาชวนเชื่อไว้ว่าได้ 665 กิโลเมตรหรือไม่ ?

เราขึ้นเหนือกันมาโดยทีมงานจัดให้เริ่มทดสอบจากเชียงใหม่ ไปพะเยามุ่งสู่เชียงราย รวมระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร

รุ่นที่ผมขับเป็นรุ่น Long Range ซึ่งเป็นรุ่นเดียวที่สามารถขับได้ 665 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC แต่ถ้าเป็นมาตรฐาน WLPT จะได้ 540 กิโลเมตร/ชาร์จ

EV5 ให้กำลัง 217 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง พลังม้านี้จะเหมือนกันหมด เว้นแต่รุ่นท็อปที่เป็น AWD รุ่นนั้นจะแรงกว่าหน่อย

มีจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือยางครับ EV5 จะมียางติดรถมาให้ 2 แบรนด์คือ NEXEN และ KUMHO เป็นยางที่ติดมาจากโรงงานเลย แต่ถ้าเราโฟกัสยางรุ่นใดรุ่นหนึ่งลองสอบถามก่อนว่าเราสามารถเลือกได้หรือไม่นะครับ

การขับขี่ของตัว KIA EV5 ภาพโดยรวมจะเป็นสไตล์คอมฟอร์ทหรือว่าสบายๆครับ ให้ฟิลลิ่งนุ่มนวลเวลาขับถ้าขับในเมือง ไม่ได้ใช้ความเร็วสูงมากนักถือว่าโอเคเลย เหมือนเป็นแฟมิลี่คาร์ แต่ถ้าเป็นสายซิ่งสปอร์ต ขับเข้าโค้งเยอะๆ อย่างที่ขับจากเชียงใหม่ไปเชียงรายที่มีโค้งค่อนข้างเยอะอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์นัก เพราะ

รถมีอาการโยนอยู่พอควร คนนั่งด้านหลังมีโอกาสเมารถได้เหมือนกัน แต่ถ้าซื้อแล้วใช้คนเดียวหรือว่านั่งแค่แถวหน้าไม่ได้ขับเข้าโค้งเยอะๆอย่างนี้ทุกวี่ทุกวันก็ถือว่าตอบโจทย์อยู่ครับ

เมื่อลองขับด้วยความเร็วสูงประมาณ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงทางตรงก้อรู้สึกโอเค ถ้าเน้นเรื่องประสิทธิภาพขับนุ่มๆนวลๆก็น่าจะสัก 100 กม./ชม. ขนาดนี้แจ๋วเลยครับ

จุดหนึ่งที่ผมชอบคือพวงมาลัย มีปุ่มควบคุมการใช้งานต่างๆ สะดวกกับคนขับมากๆ สามารถปรับโหมดต่างๆ ได้ที่พวงมาลัย อย่างโหมดการขับขี่ก็ปรับได้ง่ายๆ ไม่ต้องเอื้อมไปเซ็ตที่หน้าจอ นอกจากนี้พวงมาลัยยังมี Paddle Shift ปรับการทำงานของ Regenerative Brake อีกทั้งยังปรับค่าเคิร์ท ได้ถึง 4 ระดับ ตั้งแต่ LV 0 – 3 และสูงสุดคือ i-PEDAL โดยการตั้งค่าสูงมีผลต่อการชาร์จพลังงาน และเมื่อยกคันเร่งรถจะหน่วงเหมือนกับเบรก ดึงรถให้ชะลอความเร็วลง

ถ้าต้องการให้รถหยุดนิ่งก็ตั้งไปที่การชาร์จสูงสุด i-PEDAL ถ้าหากไม่อยากเซ็ตการชาร์จให้เยอะถึงขนาดสูงสุด ก็ปรับได้หมดได้เราใช้ ECO ก็ได้ครับ

ในเรื่องของความเร็วยังมาอยู่ แน่นอนว่ามันจะมีอาการแบบอืดๆ ดึงๆ อยู่บ้างเมื่อเทียบกับ NORMAL แต่ถ้าเรา Setไปโหมด SPORT ละก็ขับสนุกอีกอารมร์นึงเลย รู้สึกพลิ้วกว่าเยอะ แต่ถ้าขับโหมดนี้ก็จะเปลืองแบตเตอรี่ด้วยเหมือนกันนะครับ นอกจากนี้จะมีโหมด SNOW มาให้ด้วย เราสามารถใช้ได้เมื่อเจอฝนตก จะช่วยด้วยในระดับนึงเลยนะครับ

พวงมาลัยมีขนาดใหญ่พอควรเวลาควบคุมอาจจะรู้สึกว่ามันจะใหญ่หนาไปหน่อย ส่วนกริบในการจับพวงมาลัยไม่ได้กระชับถึงขนาดนั้น แต่ก็แล้วแต่คนขับครับ ส่วนน้ำหนักภาพโดยรวมของพวงมาลัย วัสดุโอเคนุ่มมาก ควบคุมได้ง่ายขับไกลๆ ไปต่างจังหวัดหรือขับนานๆ รถติด จะไม่ได้รู้สึกเมื่อยเลย อันนี้ผมชอบมากครับ

พื้นที่ห้องโดยสารโดยรวมถือว่ากว้างพอควรทั้งด้านหน้า ด้านหลังโอเค ตอบโจทย์เลย การเก็บเสียงทำได้ดี แต่ถ้าขับในความเร็วสูงๆสัก 120 กิโลเมตร / ชั่วโมงขึ้นไปอาจจะเริ่มได้ยินเสียงลมเข้ามาบ้าง

เบาะนั่งฝั่งคนขับถือว่าโอเคเหมือนกันครับ นั่งได้ไม่รู้สึกเมื่อย ภาพโดยรวมใช้ได้อยู่ในระดับแบบสแตนดาร์ด พื้นที่เก็บของต่างๆการใช้สอยต่างๆ ด้านหน้าถือว่าโอเค แต่หากต้องการช่องแช่ ต้องดูตัวท็อปเท่านั้น

จากสภาพถนนที่ได้ลองขับกันหลากหลาย ทั้งพื้นแห้ง พื้นเปียก ฝนตก โดยรวมถือว่าใช้ได้ ส่วนออพชั่นมีให้มาค่อนข้างครบครัน หน้าจอด้านฝั่งคนขับเวลาเราเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวกล้องจะแสดงภาพขึ้นที่หน้าจอไม่ว่าจะเป็นฝั่งซ้ายหรือขวา กล้อง 360 องศา Blind Spot ระบบเตือนออกนอกเลน มีมาให้หมดจัดว่าโอเคมาก

สำหรับเบาะแถวที่สอง พื้นที่ช่วงขาค่อนข้างกว้าง พื้นที่เฮดรูมมีให้เหลือๆ มีที่วางแขนตรงกลาง มีที่วางแก้วสองช่อง ด้านข้างริมประตูมีช่องวางขวดน้ำ ส่วนการปรับเบาะแถวสอง สามารถปรับเอนได้หลายระดับ ถ้าปรับระดับที่เอนเล็กน้อยจะนั่งสบาย ด้านการเก็บเสียงถือว่าใช้ได้ เงียบดี ส่วนด้านหลังเบาะแถวสอง มีพื้นที่เก็บของกว้างขวาง ใส่กระเป๋าเดินทางได้หลายใบ

ข้อสังเกตอย่างหนึ่งสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 100% จะมีในเรื่องของรีเจนเนอร์เรทหลายระดับ หากตั้งค่าไว้สูง คนนั่งแถวหลังอาจจะเมารถได้ แม้จะตั้งแค่ไว้ต่ำๆ ก็อาจจะยังรู้สึกหน่วงๆ มากกว่าคนที่นั่งหน้า หรือคนขับ ซึ่งจะรู้สึกชะงักตอนที่คนขับยกคันเร่งอยู่บ้าง

ในเรื่องของการออกแบบภายนอกของ EV5 จะมีสไตล์แบบฝังรถจีน อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการนำเข้ามาจากจีนเลยนะครับ ส่วนภายในจัดว่ามีความพรีเมี่ยม หรูหรา สมราคา ออฟชั่นการใช้งานถือว่าโอเคมากๆ

สรุประยะการเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่โชว์รูมเกียจังหวัดเชียงใหม่ก่อนเดินทางแบตเตอรี่อยู่ที่ 96% แสดงผลว่าสามารถเดินทางได้ 467 กิโลเมตร แต่เมื่อขับถึงจุดหมายปลายทางแบตเตอรี่เหลือ 32% ระยะทาง 151 กิโลเมตร

คันเราสลับกันขับ 2 คน ช่วงที่ผมขับเริ่มต้นแบตเตอรี่ 57% ระยะทางที่แสดงคือ 256 กิโลเมตร สิ้นสุดทริปที่ระยะทาง 98.3 กิโลเมตร ซึ่งตัวเลขจะใกล้เคียงกับค่าที่แสดงอยู่บนหน้าจอ

สรุปสั้นๆ จากที่ได้ทดลองขับกันมา KIA EV5 นี้สามารถวิ่งได้ 400 ถึง 450 กิโลเมตรต่อหนึ่งการชาร์จแน่ๆ การที่จะขับให้ได้ตามสเปค 665 กิ โลฯ ตามที่โฆษณานั้น ความเห็นส่วนตัวผมว่ายากครับ การที่จะขับให้ได้ตามนั้นมันขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัยทั้งเส้นทางสภาพถนน ระดับความเร็ว นิสัยการขับของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน น้ำหนักบรรทุกและอื่นๆอีกมากมายครับ

KIA EV5 จัดว่าเป็นรถที่น่าสนใจอีกแบรนด์นึงครับ ราคาในแต่ละรุ่นถือว่าโอเคเลย แต่ก่อนจะตัดสินใจควักกระเป๋าซื้อขอแนะนำว่าไปลองขับ ไปสัมผัสตัวจริงกันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจนะครับ