Search
Close this search box.

Mercedes-Benz C350e ใช้งานได้ดีเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

เราจะมาลองใช้งานจริงกับ Mercedes-Banz C350e Plug-in Hybrid โดยการทดลองนี้เราจะเดินทางจากบางนาไปสู่พัทยา เราจะขับกันอยู่ในโหมด Hybrid

ถ้าพูดถึงระบบการทำงานของ C350e คันนี้แล้วจะเน้นใช้พลังงานของแบตเตอรี่ หรือมอเตอร์ไฟฟ้ามากกว่าเครื่องยนต์ ถ้าคุณขับอยู่ในโหมด Hybrid บางทีคุณอาจจะคิดว่ารถคันนี้จะใช้พลังจากมอเตอร์ และเครื่องยนต์ อย่างละ 50% แต่จริง ๆ แล้วจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้ามากกว่า จากที่ได้ลองขับมาสักพักแล้วจะสังเกตุได้ว่าพลังงานแบตเตอรี่จะลดเร็วกว่าน้ำมัน

รถคันนี้จะมีโหมดการขับขี่อยู่หลายโหมด เราสามารถกดจากหน้าจอควบคุมตรงกลางได้ซึ่งโหมดแรกก็คือ 1. Hold Battery Mode ซึ่งจะเป็นโหมดการขับขี่เซฟแบตเตอรี่สำหรับใช้ในการขับขี่ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เราได้เลือกไว้ 2. Electric Mode เป็นโหมดที่ใช่ไฟฟ้าล้วน ๆ ซึ่งจะช่วยในการประหยัดน้ำมัน 3. Hybrid Mode ซึ่งจะเป็นโหมดที่นิยมใช้กันโดยจะใช้พลังงานจากมอเตอร์และเครื่องยนต์ แต่จากที่ได้ทดลองจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ซะมากกว่า 4. Sport Mode ซึ่งในโหมดนี้จะมีการแจ้งรายละเอียดสถานะที่มากกว่าโหมดอื่น เช่น น้ำหนักพวงมาลัย เป็นต้น

การเร่งของคันนี้มันจะมีอยู่จุดหนึ่งที่ต้องสังเกตุ นั่นคือตรงหน้าปัดที่เขียนว่า Power และ Charge ซึ่งทั้ง 2 จุดนี้จะมีผลต่อการขับขี่ของเรา เมื่อเราเหยียบคันเร่งมาตราของ Power จะเพิ่มขึ้น และเมื่อถอนคันเร่งมาตรา Power จะลดลงและในส่วนของ Charge จะเพิ่มขึ้นแทน เมื่อส่วนของ Charge ลดลงไปแสดงว่ารถกำลัง Regenerate พลังงานให้กับเราเพื่อที่เราจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ได้มากขึ้น และอีกอย่างหนึ่งที่รู้สึกได้ตอนเหยียบคันเร่งนั่นคืออาการหน่วง และจะรู้สึกว่าดึงเรานิดนึงจะรู้สึกคล้าย ๆ กับระบบ Kers เราอาจจะต้องจับจังหวะดี ๆ เพราะบางจังหวะมันจะไม่ทำงาน ขึ้นอยู่ที่การขับขี่ของเราครับ ถ้าเราทำความเร็วที่คงที่ระบบนี้จะไม่ทำงานครับ และนี่ก็คือการใช้งานของระบบ Hybrid ของ C350e คันนี้ ซึ่งระบบ Hybrid นี้ถ้าคุณใช้งานในเมืองจะประหยัดได้พอสมควร แต่เมื่อคุณขับออกนอกเมืองหรือบนทางด่วนระบบนี้อาจจะไม่ค่อยน่าใช้สักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลยครับ

การเกาะถนน และการทรงตัวของรถคันนี้ถือว่าโอเคเลยครับ ไม่ว่าเราจะเลี้ยวหรือขับซิกแซกยังไง ก็ทำได้ดีพอสมควรครับ และจะมีอีกคุณสมบัติช่วงล่างของ Mercedes-Benz ที่เรียกว่า Level Control ที่จะมาช่วยเฉลี่ยน้ำหนักให้ช่วงล่างมีความสมดุลมากขึ้น ทำให้ตัวรถมีอาการโยนตัวน้อยที่สุด และจากที่ผมได้ลองขับก็ถือว่าใช้ได้เลยครับ เข้าโค้งที่ความเร็ว 135 กม./ชม. ยังรู้สึกมั่นใจ (แต่อย่าทำนะครับเพื่อความปลอดภัย)

รถคันนี้จะมีหลายสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ที่ซ่อนอยู่ด้านท้ายของตัวรถ ซึ่งจะไม่เหมือนรุ่นก่อน ๆ ที่เปิดท้ายรถมาจะเห็นกล่องแบตเตอรี่ได้อย่างชัดเจน ซึ่งรุ่นนี้จะมีการกดแบตเตอรี่ลงเพื่อเพิ่มพื้นที่จะเก็บของมากขึ้น และนอกจากนี้แบตเตอรี่ยังมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อน ๆ โดยมีความจุอยู่ที่ 25.4 kWh

ส่วนอีกปัจจัยที่สำคัญนั่นคือล้อ หรือยาง ที่มีขนาด 18 นิ้ว ยางขนาด 225/45 R18 ถ้าเปรียบก่อนกับรุ่นเก่าจะมีขนาด 19 นิ้ว ขนาดที่ลดลงเพื่อเพิ่มในเรื่องของ Aero Dynamic และช่วยในการขับขี่ ถ้าใครต้องการที่จะไปเปลี่ยนเป็น 19 นิ้ว ทาง Mercedes-Benz ประเทศไทยได้แจ้งมาว่าไม่แนะนำเพราะจะทำให้เสียประสิทธิภาพของการขับขี่ได้อย่างชัดเจนครับ

เรื่อง Handling ของพวงมาลัยมีความนุ่ม และจับกระชับมือทำให้เวลาขับรู้สึกมั่นใจ เวลาเปลี่ยนเลนก็ไม่ได้หนักจนเกินไป แต่ถ้าจะปรียบเทียบกับ BMW นั้นจะมีความนุ่มในการขับขี่มากกว่า พวงมาลัยเป็นแบบไฟฟ้ามีปุ่มให้ปรับอยู่ด้านใต้ถือว่าดีมาก ๆ แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบก็คือก้านของเกียร์ตรงพวงมาลัยมีขนาดเล็กเกินไป

ทัศนะวิสัยในการขับขี่ถือว่ากว้างทั้งด้านหน้า และด้านหลัง กระจกด้านข้างก็ถือว่ามองได้ชัดเจน และสิ่งที่ดีอีกอย่างของรถคันนี้ก็คือ เก็บเสียงภายนอกได้ดีมากในการขับขี้แทบจะไม่ได้ยินเสียงของรถรอบข้างเลย รวมทั้งเสียงจากพื้นถนนก็เบาเช่นเดียวกัน เสียงลมจะมีเข้ามาเล็กน้อยเมื่อความเร็ว 120 กม./ชม.

รถคันนี้มีระบบความปลอดภัยมาให้เยอะอยู่พอควร แต่น่าเสียดายที่ไม่มีกล้อง 360 องศาติดตั้งมาให้อาจจะต้องรอ Minor Change อีกรอบ ส่วนระบบ Blind Spot ก็มีเสียงเตือนที่ชัดเจนเมื่อตีไฟเลี้ยว และมีรถผ่านมาด้านข้าง แต่ถ้าเราไม่ได้เปิดไฟเลี้ยวจะมีไฟแสดงที่กระจกมองข้างแทนซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนเช่นกัน และอีกระบบนึงนั่นคือระบบเตือนให้รถอยู่ในเลนซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์สีเขียวอยู่ด้านขวามือของหน้าปัด เวลาเราออกนอกเลนพวงมาลัยจะสั่นและดึงกลับให้รู้สึกเพียงนิดเดียวแต่จะไม่ดึงกลับแรง ซึ่งก็จะเป็นทั้งข้อดี และข้อเสียครับ และระบบเตือนกันชนด้านหน้าก็มีให้เช่นเดียวกันถ้าเราขับไปชิดคันหน้ามากเกินไปจะมีสัญลักษณ์เตือนสีแดงแสดงขึ้นมาที่หน้าปัดทันที

ในด้าน Entertainment สามารถเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay หรือ Android Auto ได้โดยจะเป็นแบบ Wireless ซึ่งใช้งานได้ดีมาก ๆ และลำโพง Burmester ก็ถือเป็น 1 ในไฮไลท์ของรถคันนี้ด้วย

เวลาขับเมื่อตีไฟเลี้ยวซ้าย-ขวากล้องที่กระจกมองข้างก็จะทำงานอัตโนมัติซึ่งถือว่าเป็นข้อดีครับ นอกจากนี้ก็จะเป็นเรื่องลูกเล่นต่าง ๆ เช่นหน้าจอที่เราสามารถปรับแต่งได้หลากหลายรูปแบบ และสามารถควบคุมได้จากพวงมาลัยฝั่งขวามือแถมยังมีหน้าจอแบบ Navigation แบบเต็มจอมาให้ด้วย โดยเลือกดูจากหน้าปัดคนขับหรือหน้าจอ Entertainment ก็ได้ หน้าจอแบบ Assistant ก็จะช่วยเตือนเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่ และหน้าจอแบบ Service ที่จะใช้ดูสถานะต่าง ๆ ของตัวรถ

เบาะของคันนี้นุ่นนั่งสบาย และล็อคตัวคนขับได้ดีเวลาเราหักโค้งตอนอยู่ในความเร็วทำให้รู้สึกมั่นใจ นอกจากนี้เวลาขับไปในที่อากาศหนาวสามารถกดให้เบาะของเราอุ่นได้แต่เฉพาะฝั่งด้านคนขับเท่านั้น โดยปุ่มจะอยู่ตรง Memory Seat ครับ ส่วน Memory Seat จะให้ 3 ตำแหน่งทั้งคนขับ และคนนั่งด้านหน้า

ดีไซน์คอนโซลด้านหน้าจะเป็นเคฟล่า ซึ่งเวลามองเมื่อรถจอดอยู่กับที่จะไม่รู้สึกเวียนหัว แต่อาจจะมีผลกับบางคนที่ไม่ชอบความลายเวลาขับขี่อาจจะทำให้มีอาการมึนหัวได้

ทดสอบการเร่งผมแนะนำว่าการเปลี่ยนโหมดไม่ควรเร่งคันเร่งทันทีควรปล่อยให้ตัวรถปรับจูนโหมดสักครู่ ในโหมด Electric จะตอบสนองความเร็วได้ดีกว่าเนื่องจากไม่ต้องรอรอบเครื่องซึ่งก็เป็นข้อดีของระบบนี้ โหมด Hybrid การเร่งอาจจะต้องรอจังหวะนิดนึง ซึ่งในโหมดต่าง ๆ จะมีความต่างกันตอนเร่ง ทดสอบ 0-100 กม./ชม. ในโหมด Hybrid ใช้เวลา 6.4 วินาที

ในส่วนของแบตเตอรี่ Mercedes-Benz จะรับประกัน 10 ปี หรือ 150,000 กม. สำหรับคนที่มีคำถามว่าถ้าหมดประกันแล้วราคาแบตเตอรี่จะเป็นอย่างไร ซึ่งทาง Mercedes-Benz ได้ให้คำตอบว่าตอนนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ราคาได้เนื่องจากเวลาอีก 10 ปี อาจจะมีแบตเตอรี่รูปแบบใหม่แล้วก็ได้

ในการขับในเมืองสำหรับรถคันนี้ถ้าคุณจะเร่งรถอาจจะมีช่วงให้เสียจังหวะนิดนึง จะมีอาการพุ่งและชะงักให้รู้สึกบ้าง ซึ่งถ้านำรถที่แรงไปขับในทางโล่งก็อาจจะใช้ได้อย่างเต็มปรนะสิทธิภาพ แต่ถ้านำมาขับในเมืองก็อาจจะให้ฟิลลิ่งที่แตกต่างกันนิดนึง แต่สำหรับคันนี้ผมคิดว่าโอเคเลยครับ

จากระยะทางที่ผมขับมาถึงพัทยารวม 120 กม. ตัวรถแสดงความสิ้นเปลือง 3.6 ลิตร / 100 กม. ก็จะอยู่ที่ประมาณ 30 กม./ลิตร ผมว่าโอเคเลยนะครับ ถ้าดูในส่วนแบตเตอรี่ตอนนี้ 0% แล้วครับ แต่น้ำมันตอนนี้เหลือที่ 453 กม. แทบจะไม่ได้ลดตั้งแต่ตอนเริ่มการเดินทางเลยนะครับ

ทดลองระบบ Park Assist เพียงแค่กดปุ่ม P ที่หน้าจอตัวรถจะเริ่มจับสัญญาน เมื่อเราขับไปเจอช่องจอดที่ว่าง หน้าจอจะมีเสียงและสัญลักษณ์เตือน เราก็เพียงกดปุ่ม P ค้างอีกครั้ง และปล่อยเบรกระบบจะทำงานเพื่อนำรถเข้าจอดให้เองทันที แต่ถ้าเรารู้สึกไม่มั่นใจสามารถเหยียบเบรกได้ตลอดเวลา และเมื่อจอดเรียบร้อยจะมีสัญญานเตือนให้เรารู้ จากที่ผมได้เคยทดลองมากับรุ่นอื่น ๆ ของคันนี้รู้สึกได้เลยว่าระบบทำงานได้นุ่มครับ

และถ้าคุณนำรุ่น C350e มาเปรียบเทียบกับ E-Class แน่นอนถ้าเราดูเรื่องราคามันจะไม่แปลกเลยถ้าเรานำ 2 รุ่นนี้มาเปรียบเทียบกัน เพราะ C350e ราคาจะอยู่ที่ 3,350,000 บาท ส่วน E-Class ก็จะมีหลายเรทราคาแล้วแต่รุ่น แต่ก็จะเริ่มต้นอยู่ที่ 3.5 – 3.9 ล้านบาทครับ ซึ่งถ้าคุณเพิ่มเงินอีก 300,000 บาทคุณก็จะได้รุ่น E-Class ซึ่งถ้านำมาเทียบกันแล้วการเพิ่มเงินเพียงนิดหน่อยก็จะได้อัพเกรดเป็นกลุ่ม E-Class คุณจะได้รับตัวถังที่ใหญ่กว่า และ Body ที่กว้างกว่าและที่สำคัญคุณจะได้รถที่มีสเตตัสที่ดีกว่า C-Class

เปรียบเทียบ E-Class
แต่ถ้ามองอีกมุมนึงรุ่น E-Class ยังเป็นรุ่นเก่าอยู่ ยังไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่แต่อย่างใด แต่สำหรับ C-Class คันนี้มีการเปลี่ยนเยอะอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Digital Light, หน้าจอ และระบบต่าง ๆ เป็นต้น และแน่นอนในเรื่องดีไซน์ก็ดูทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งเรื่องนวัตกรรม และระบบต่าง ๆ ที่ทันสมัยมากกว่ารุ่น E-Class แต่ถ้าคุณไม่ได้สนใจเรื่องเทคโนโลยีเหล่านี้ สนใจแค่เรื่องขนาดความกว้างความใหญ่ หรือเรื่องสเตตัสของรถ E-Class ก็เป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน

แต่สำหรับผมแล้ว ณ ตอนนี้ถ้าคุณกำลังมองหารถอยู่แต่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องขนาดของรถผมก็จะนะนำตัว Plug-in C350e Hybrid คันนี้ครับ หรือถ้าคุณยังไม่รีบก็รอดูตัว E-Class ที่จะออกมาใหม่ก่อนก็ได้ครับเพราะผมเชื่อว่าอีกไม่เกิน 2 ปีก็น่าจะมีรุ่นใหม่ที่ปรับโฉมออกมาให้จับจองกันครับ เพราะเรื่อง Option ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟ Digital Light, หรือหน้าจอขนาดใหญ่ทาง Mercedes-Benz เองก็กำลังทยอยใส่ไปในรุ่นใหม่ ๆ อย่างเช่นรุ่น GLC ใหม่ถ้าใครสนใจกลุ่มรถ SUV ก็รอติดตามกันน่าจะไม่เกินภายในปีหน้านี้ และนี่ก็คือการทดลองใช้งานจริงกับ Mercedes-Benz C350e Plug-in Hybrid ครับ

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ