Search
Close this search box.

Mercedes-Benz C220d Avantgarde (2022) ใช้งานได้ดีและมีให้มากกว่าที่คิด

Test Drive_Mercedes-Benz C220d Avantgarde (2022)

Mercedes Benz C Class ถือเป็นรุ่นยอดนิยม และขายดีเป็นอันดับต้น ๆ ของ Mercedes Benz ก็ว่าได้ครับ ซึ่งในครั้งนี้ผมจะพาทุกท่านมารีวิวกับ Mercedez Benz C 220d Avantgarge ที่เป็นตัวเริ่มต้นของกลุ่ม C Class มีราคาอยู่ที่ 2,590,000 บาท แต่ในรุ่นนีจะมีตัวท็อปนั่นคือรุ่น C220d AMG Dynamic ที่มีราคาอยู่ที่ 2,999,000 บาท
ซึ่งถ้าจะถามเรื่องความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่นนี้ ก็จะมีเยอะอยู่พอสมควร แต่สำหรับผมนั้นจะเลือกตัว Avantgarde ครับเพราะถ้าคุณเปรียบเทียบดีไซน์หรือ Option โดยรวมตัว AMG มีมาให้มากกว่าก็จริง แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราได้ใช้ Option พวกนั้นมากน้อยแค่ไหน สำหรับผมคิดว่าตัว Avantgarde ก็คุ้มค่าแล้วแถมยังได้เซฟเงินไปอีก 400,000 บาทด้วยครับ

เราจะมาดูกันเรื่องดีไซน์ เหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้ผมชอบ Avantgarde นั่นคือกระจังหน้าที่ดูพรีเมี่ยมแบบเรียบหรู แต่สำหรับตัว AMG Dynamic จะมีความดุดัน และดู Sport มากกว่า ซึ่งจุดนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละท่านครับ กระจังหน้าของ Avantgarde จะมีช่องระบายความร้อนที่สามารถมองเห็นเครื่องยนต์ด้านในได้ และระบายความร้อนได้ดี ไฟหน้าจะเป็นแบบ LED High Performance ของ AMG Dynamic รุ่นก่อนจะเป็น Multibeam LED ซึ่งในจุดนี้ผมมองว่าเป็นการลดสเปค ทาง Mercedes-Benz แจ้งมาว่าสำหรับรุ่นต่อ ๆ ไปก็จะเปลี่ยนมาเป็น LED High Performance และจะเปลี่ยนไฟ Multibeam LED เป็น Digital Light ทั้งหมด

ด้านข้างดูเรียบหรูเหมือนกับด้านหน้า แต่จุดสังเกต 2 จุดก็คือ ดีไซน์โดยรวมที่อาจจะไม่มีลวดลายเส้นสาย เหมือนรุ่น AMG Dynamic ซึ่งผมคิดว่าของ Avantgarge มันลงตัวเหมาะกับรุ่น C Class อีกจุดหนึ่งคือล้ออัลลอยที่ออกแบบมาได้อย่างสวยงาม มีความคลาสสิคมากกว่ารุ่น AMG Dynamic ที่ดู Sport ยางมีขนาด 18 นิ้ว 225/45 ของ Bridgestone แต่ถ้าเป็นของ AMG ยางจะขนาด 19 นิ้ว ยางด้านหลังเป็นคนละขนาดกับด้านหน้า จะมีขนาด 245/40 ของ Bridgestone เช่นกัน

Option ด้านข้างจะมีหลาย ๆ จุดที่น่าสนใจเช่น กระจกมองข้างที่มี Blind Spot และมี Keyless Entry มาให้ทั้งด้านหน้า / ด้านหลัง อำนวยความสะดวกได้ดี ซึ่งถ้านับว่าเป็นตัวต้นของ C Class และในราคานี้ถือว่าโอเคเลยครับ

ด้านดีไซน์ท้ายรถ ดูมีเสน่าห์ให้อารมณ์เหมือนกับด้านหน้าคือให้อารมร์แบบ เรียบง่าย หรูหรา และพรีเมี่ยม ไฟท้านดูหรูหราดุดันมาพร้อมกับความคมชัด และขนาดที่ใหญ่ กันชนขอบด้านท้ายจะเป็นแบบเรียบ แต่ถ้าเป็นของ AMG Dynamic จะมี Diffuser เพื่อเพิ่มความดุดันและ ความ Sport เร้าใจมากกว่า

Mercedes Benz C220d Avantgarde คันนี้จะมีแค่กล้องมองหลังเท่านั้น จะไม่มีกล้อง 360 องศามาให้ แต่จะมี Sensor หรือ Hands Free เปิดท้ายรถติดมาให้ด้วย เมื่อเปิดท้ายรถมาจะเป็นห้องเก็บสัมภาระขนาดกว้าง สามารถวางกระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่ 2 ใบได้สบาย ๆ แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือรถคันนี้ไม่มียางอะไหล่มาให้ ด้านข้างของห้องเก็บสัมภาระจะมีปุ่มกดพับเบาะตอนหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ แต่จังหวะการพับเบาะจะเร็วและแรงหน่อย

ภายในของตัว Avantgarde จุดที่แตกต่างจากของ AMG Dynamic คือ Dash Board และคอนโซล ซึ่งของ AMG Dynamic จะมีการเล่นลวดลายที่ดู Sport มากกว่า ซึ่งถ้าเทียบกับราคาแล้ว Avantgarde อาจจะคุ้มค่ามากกว่า ส่วนข้อเสียของคอนโซล Dash Board ของ Avantgarde ก็คืออาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบดีไซน์ลายจุดที่อาจจะทำให้รู้สึดเวียนหัวได้ คอนโซลด้านหน้าจะตกแต่งด้วยโครเมี่ยมยาวมาถึงคอนโซลด้านล่าง ส่วนคอนโซลด้านบนจะเป็นวัสดุกึ่ง Soft Touch

พื้นที่โดยรวมภายในเมื่อมองด้วยตาจะรู้สึกกว้าง แต่เมื่อมาลองนั่งแล้วจะรู้สึกแคบกว่าที่เห็นเล็กน้อย โดยเฉพาะในส่วนของ Head Room ที่จะรู้สึกว่าเตี้ยไปนิดนึง อาจจะต้องปรับเบาะลงมาเพื่อให้พอดี และเมื่อพอมาลองนั่งขับจะรู้สึกเลยว่าตัวรถจะเตี้ยอยู่พอสมควร ให้ความรู้สึก Sport ข้อดีคือเบาะคนขับ และคนนั่งด้านหน้าจะเป็นแบบปรับไฟฟ้าและมี Memory Seat ให้ทั้งคู่

พวงมาลัยถ้าเทียบกันแล้วของ AMG Dynamic จะดู Sport มากกว่าตัวก้านจับจะมีลายจุดเพื่อให้จับได้กระชับและ Grip จะจับได้หนักแน่นมากกว่าตัว Avantgarde ที่จะเป็นแบบเรียบ ๆ จากที่ได้ลองผมคิดว่าจับได้ถนัดดีเหมาะสมกับการใช้งาน ตัวพวงมาลัยมีฟังก์ชั่นมาให้เยอะมาก ฝั่งซ้ายจะเป็นตัวควบคุม Entertainment ฝั่งขวาจะใช้ควบคุมเรื่องระบบขับขี่ และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบพวงมาลัยคือปรับได้แบบไฟฟ้า พร้อมทั้งมี Paddle Shift มาให้ด้วย

หน้าปัดทั้งตัว AMG และ Avantgarde จะมีขนาดเท่ากันคือ 12.3 นิ้ว สามารถปรับเปลี่ยนดีไซน์กราฟฟิคได้ได้พวงมาลัยฝั่งขวา

รถคันนี้จะไม่มี Head Up Display มาให้แต่มีหน้าจอขนาด 11.9 นิ้วตรงคอนโซลกลางที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ที่สุดของรถคันนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งจะทำให้รถดูทันสมัย และดูไฮเทคมากยิ่งขึ้น เมื่อเปิดมาดูภาพมองหลังจะเห็นได้เลยว่าคมชัดมาก ๆ รถคันนี้สามารถใช้ระบบ Parking Assist ได้ ฟังก์ชั่นเครื่องปรับอากาศสามารถปรับอุณหภูมิแยกได้ 2 ฝั่ง แต่ระดับความแรงปรับได้แค่ฝั่งคนขับฝั่งเดียวเท่านั้น ในหน้า Setting เราสามารถปรับไฟ Ambient และรายละเอียดต่าง ๆ ของตัวรถได้ เมื่อกลับมาที่หน้า Home เรายังสามารถใช้ฟังก์ชั่นอื่น ๆ ได้อีกมากมาย รวมทั้งเรายังสามารถสแกนนิ้วมือเพื่อเข้า Account Mercedes Benz ของเราได้ นอกจากนี้เรายังสามารถเปลี่ยนโหมดการขับขี่ให้เป็น Eco, Comfort, Sport, Individual ได้จากหน้าจอนี้เช่นกัน

ถัดลงมาจากหน้าจอจะเป็นช่องเก็บของที่สไลด์เปิดได้ ด้านในจะมีช่องวางแก้วให้ 2 ช่องพร้อมช่องเก็บของด้านข้าง ถัดลงมาด้านล่างจะมีช่องเก็บของที่มีความจุให้พอสมควรอีก 1 ช่องพร้อมช่องเสียบ USB ให้อีก 2 ช่อง

เบาะด้านหลังจะใช้วัสดุเดียวกันกับด้านหน้า จะให้ความรู้สึกโดยรวมว่านั่งสบาย แต่ที่พิงด้านหลังอาจจะรู้สึกเมื่อยเล็กน้อยถ้าต้องนั่งนาน ๆ Leg Room มีพื้นที่กว้างเหลือเฟือ ระดับการนั่งของเบาะหลังอยู่ในระนาบเดียวกับด้านหน้า เบาะตรงกลางสามารถดึงที่เท้าแขนออกมาได้ พร้อมมีที่วางแก้วให้ 2 ช่อง ด้านหลังจะมีแอร์ให้ พร้อมช่องวางของขนาดเล็ก

ทดสอบ – Test Drive
ด้านการขับขี่ Mercedes Benz C220d Avantgarde (2022) จะใช้เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ พร้อม Intercooler ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 48 โวลล์ (EQ Boost) เพื่อเพิ่มพละกำลังขึ้นอีก 20 แรงม้า ซึ่งรถยนต์ของ Mercedes Benz รุ่นใหม่ ๆ ที่จะออกมาสู่ตลาดในอนาคตจะให้ระบบเครื่องยนต์ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมดเพื่อให้เข้ากับ Concept รถไฮบริด (ข้อมูลจาก Mercedes Benz ประเทศไทย)

จากข้อมูลของ Mercedes Benz ประเทศไทย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. จะใช้เวลาประมาณ 7.3 วินาทีและความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 245 กม./ชม. ใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ หรือ 9G Tronic พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยหรือ Paddle Shift

การทดสอบขับขี่ด้วยโหมด Comfort 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 9.2 วินาที จากการสังเกตจะรู้สึกว่าตัวรถจะไม่ได้แรงมาก การเข้าโค้งการทรงตัว และการเกาะถนนทำได้ดี
การทดสอบขับขี่ด้วยโหมด Sport 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 8.8 วินาที รอบในช่วงต้นจะทำได้เร็ว แต่จะเริ่มแผ่วลงในรอบปลาย ซึ่งผมได้ลองเร่งในช่วงความเร็วต่าง ๆ ได้ข้อมูลมาดังนี้
อัตราเร่งในความเร็ว 0-50 กม./ชม. ใช้เวลา 3.8 วินาที
อัตราเร่งในความเร็ว 60-120 กม./ชม. ใช้เวลา 7.9 วินาที
อัตราเร่งในความเร็ว 90-120 กม./ชม. ใช้เวลา 4 วินาที
แต่โดยรวมรอบจะมาเร็วกว่าโหมด Comfort ความรู้สึกของช่วงล่างและการทรงตัวจะเกาะถนนน้อยกว่าโหมด Comfort เช่นกัน

เสียงลมจากด้านนอกจะเริ่มเข้ามาให้ได้ยินในความเร็ว 125 กม./ชม ขึ้นไปซึ่งถือว่าอยู่ในมาตรฐาน เมื่อขับมาได้สักระยะจะรู้สึกได้ว่าเบาะนั่งสบายและล็อคตัวได้ดีในขณะเข้าโค้ง

และนี่ก็คือการรีวิว Mercedes Benz C Class กับรุ่น C220d Avantgarde ที่มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2,590,000 บาท ถ้าคุณอยากจะดูตัวท็อปกไปรุ่น AMG Dynamic ที่มีราคาอยู่ที่ 2,990,000 บาท แตกต่างกันอยู่ 400,000 บาท หรือถ้าใครอยากดูตัว Hybrid ก็อาจจะต้องรอดูตัว Minor Change ครับ

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ