Search
Close this search box.

Mazda ขอก้าวขึ้นสู่แบรนด์อันดับหนึ่ง มัดใจลูกค้า ชูกลยุทธ์ Retention Business Model เติบโตแบบยั่งยืน

มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ประกาศแนวทางธุรกิจเพื่อมุ่งมั่นสู่การเติบโตแบบยั่งยืน พร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างเต็มกำลัง โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างแบรนด์และบริการหลังการขาย ตามกลยุทธ์ Retention Business Model ตั้งเป้าเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ลูกค้าเลือก Top Customer Retention Brand และเป็นอันดับหนึ่งด้านการบริการ Top Service Retention เพื่อส่งมอบรอยยิ้มและความสุขให้กับลูกค้า สร้างความสำเร็จให้ผู้จำหน่าย และเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดไป

🔶 นายทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่ามาสด้าประสบความสำเร็จจากการนำ Rentention Business Model มาใช้ โดยเฉพาะในด้านของการกลับมาเข้ารับบริการของลูกค้า (Service Retention) ที่เพิ่มขึ้นจาก 72% ในปีงบประมาณ 2561 เป็น 85% ในปีงบประมาณ 2565 พร้อมกับมีอัตราการกลับมาซื้อซ้ำของลูกค้า (Repurchase) เพิ่มสูงขึ้นจาก 15% ในปีงบประมาณ 2561 เป็น 30% ในปีงบประมาณ 2565 หรือเพิ่มขึ้น 100% ซึ่งเป็นไปตามแผนที่มาสด้าวางไว้นอกจากนั้น การแผนการพัฒนาธุรกิจรถมือสองคุณภาพดี Mazda CPO ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี ส่งผลให้ราคารถยนต์มือสอง (Residual Value) มีราคาขายต่อสูงขึ้น เช่น มาสด้า2 อายุ 6 ปี มีมูลค่าการขายต่อเพิ่มขึ้นเป็น 55%
ภาพรวมปี 2566 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากปี 65 คาดว่าตัวเลข GDP จะโตอยู่ในช่วง 3.3-3.7% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวด้านการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชนการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ภาคการเกษตร และการส่งออก ทำให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์จะเติบโตขึ้นเล็กน้อยประมาณ 5% คาดว่ายอดรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 900,000 คัน ในขณะที่มาสด้าได้ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 3.5% เพราะจะมีรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาเสริมทัพ

🔶 อีกหนึ่งความสำเร็จ คือรถยนต์ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่มาสด้ามุ่งมั่นพัฒนาจนได้รถยนต์ที่ให้ทั้งความแรงและประหยัดน้ำมัน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงความสนุกสนานในการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมทั้งใช้แนวทางการออกแบบ KODO-Soul of Motion ในการสร้างความโดดเด่นให้กับตัวรถโดยมาสด้าเริ่มจำหน่ายรถยนต์ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟรุ่นแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2556 และประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นจนถึงปัจจุบันอยู่ในการครอบครองของลูกค้าแล้วมากกว่า 360,000 คัน
โดยมาสด้า2 ยังคงครองความนิยมในตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ด้วยจำนวน 224,000 คัน มาสด้า3 จำนวน 42,000 คัน ครอสโอเวอร์เอสยูวี มาสด้า CX-3 จำนวน 30,000 คัน มาสด้า CX-30 จำนวน 20,000 คัน มาสด้าCX-5 จำนวน 35,000 คัน มาสด้า CX-8 จำนวน 6,000 คัน รถสปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุนมาสด้า MX-5 จำนวน 150 คัน และรถปิกอัพต้นแบบแห่งความสง่างาม มาสด้า BT-50 อีกจำนวน 3,000 คัน

🔶 นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 66 มาสด้ายังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจ Retention Business Modelซึ่งเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่ประกาศไปเมื่อปีที่แล้ว แต่เพิ่มเติมเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายยิ่งขึ้น มุ่งสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งด้าน Customer Retention ต้องเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าเลือก คือ Top Retention Brand ให้บริการที่ลูกค้าพึงพอใจ Top Service Retention
รวมถึงรักษาส่วนแบ่งการตลาดในแต่ละพื้นที่ Maintain Market Shareนำเสนอคุณค่าของแบรนด์ผ่านประสบการณ์และความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา แต่ครอบคลุมรอบด้านมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เรามุ่งมั่นเพื่อเดินหน้าตามแผนงานระยะกลาง ให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าแบรนด์ ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
นี่คือ แนวทางในการสร้างแบรนด์มาสด้าให้แข็งแกร่ง เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในด้าน Customer Retention และ Service Retention เพื่อแทนคำมั่นสัญญาว่า มาสด้าจะเป็นแบรนด์ที่มอบความสุขและสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้า แทนคำขอบคุณที่ลูกค้าไว้วางใจ และเลือกใช้รถมาสด้าให้เป็นรถคู่ใจไปตลอดการเดินทาง