Search
Close this search box.

รีวิว BYD DOLPHIN ก่อนราคาจะขึ้นเร็วๆ นี้

ใครที่กำลังตัดสินใจที่จะซื้อ BYD DOLPHIN แนะนำให้จองไว้ก่อน เพราะวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2024 เป็นต้นไป BYD DOLPHIN จะปรับราคา และยังรวมถึง BYD SEAL และ BYD ATTO 3 อีกด้วย

BYD DOLPHIN มีให้เลือกอยู่ 2 รุ่น ย่อย ได้แก่
- BYD Dolphin Standard Range ราคา 699,999 บาท
- BYD Dolphin Extended Range ราคา 859,999 บาท

อย่างไรก็ตาม อนาคตอาจจะมีโปรโมชั่น หรือแคมเปญที่น่าสนใจมากกว่านี้ก็ได้

ระหว่าง Standard Range และ Extended Range ต่างกันที่ระยะทางทางที่ใช้งาน โดยรุ่น Extended Range สามารถวิ่งได้สูงสุด 490 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ส่วนรุ่น Standard Range สามารถวิ่งได้ 410 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตัวเลขนี้มาจากทดสอบระยะทางตามมาตรฐาน NEDC

นอกจากนั้นรุ่น Extended Range ยังมาพร้อมมอเตอร์ขนาด 150 กิโลวัตต์ ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้พละกำลังสูงสุด 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร ขนาดแบตเตอรี่ 60.48 kWh แบบ Blade Battery LFP

จุดที่ชอบ เริ่มจากสี Mafic Grey ให้ความหรูหรา และดูน่ารักในโทนเดียวกัน ภายในหรูหรา ออกแบบให้มีที่เก็บของเยอะ สะดวกสำหรับคนขับ มาพร้อมหน้าจอที่ปรับหมุนได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน แต่เวลาหมุนจอเป็นแนวตั้งทำให้เหลือพื้นที่วางของได้น้อยลงตรงช่องวางของใต้จอกลาง

หน้าจอ จะมีออฟชั่นให้ครบครัน ทั้งแผนที่ แอพฟังเพลง Spotify, Apple Car Play และกล้องรอบคันที่ชัดมาก หากมีสิ่งผิดปกติ เช่น ฝากระโปงหน้าเปิดอยู่ จะมีสัญลักษณ์เตือนชัดเจน และสามารถดูได้รอบแบบ 360 องศา หรือจะดูเป็น 3D ก็ได้ แม้ขณะขับขี่ก็ยังดูได้อีกด้วย

นอกจากกุญแจรถแล้ว ยังมีการ์ดของ BYD ให้ที่สามารถใช้เป็นกุญแจรถได้อีกด้วย หน้าจอคนขับจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก ทำให้อาจจะต้องมองลงมา แล้วต้องละสายตาจากการขับได้ เกียร์ ของ BYD DOLPHIN จะอยู่ที่หน้าคอนโซนกลาง สามารถควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ได้จากจุดนี้ และจะสามารถปรับโหมดต่างๆ ได้ในบริเวณใกล้กัน ซึ่งจะมีข้อดีทำให้มีพื้นที่มากยิ่งขึ้น แต่ก็มีข้อเสียทำให้ควบคุมยาก อาจจะไม่ปลอดภัย 100%

ด้านหน้า ฝากระโปรงสามารถเปิดได้นั้นต้องปลดล็อกจากด้านในใต้พวงมาลัย เมื่อเปิดออกมาจะไม่ได้มีที่เก็บของ แต่จะเป็นมอเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ

การออกแบบล้อสวยเข้ากับรถ ยางที่ใช้เป็นยางขนาด 205/50 ขอบ 17 ยี่ห้อ Linglong เป็นยางแบรนด์จีน ถ้าหากจะเปลี่ยนยางอาจจะต้องเปลี่ยนกับทาง BYD โดยตรงนะครับ

ด้านหลังรถจะยังเป็นชื่อ BUID YOUR DREAMS แต่ถ้าเป็นรุ่นใหม่ๆ ตอนนี้จะเป็นแค่ตัวอักษร BYD และเมื่อเปิดออกจาจะเป็นพื้นที่เก็บสัมภาระ สามารถใส่กระเป๋าเดินทางได้ประมาณใบเดียว แต่ถ้าอยากได้พื้นที่เพิ่มสามารถพับเบาะ หรือเปิดเก็บไว้ข้างล้างได้อีก สำหรับถาดบังตาเพื่อไม่ให้เห็นสัมภาระด้านท้ายนั้น มีข้อสังเกตคือ เมื่อขับรถไประยะหนึ่งระบบล็อกอาจจะไม่แน่นทำให้ถาดนี้ไม่หลุดออกมาได้บ้าง

นอกจากนั้นยังมีกระเป๋าสายชาร์จพกพา สำหรับชาร์จไฟบ้าน อีกด้วย

ทดลองขับ Normal Mode วิ่ง 0-100 Km/h พร้อมน้ำหนักบรรทุกประมาณ 130-140 กิโลกรัม ทำความเร็วที่ 8.04 วินาที ค่อนข้างเร็วอยู่พอควร สามารถวิ่งแซงได้ปกติสบายๆ อัตราการเร่งถือว่าใช้ได้ ไม่ต้องรอรอบเหมือนเครื่องยนต์สันดาป แต่อาจจะชะงักด้วยเรื่องของยางบ้าง แนะนำให้เปลี่ยนยางจะดีขึ้น ช่วงล่างไม่ได้นิ่งเสถียรหรือเกาะถนนได้ดีเท่าไหร่ ตอนวิ่งเสียงยางจะมีความดัง และรู้สึกว่าล้อลอย ถ้าขับในความเร็วที่สูง หรือเข้าโค้งซิกแซ็กอาจจะต้องระมัดระวังกันบ้าง แนะนำว่าไม่ควรเหยียบลึก ควรขับแบบเรื่อยๆ ถ้าขับตามจังหวะทำความเร็วได้ก็จะไม่มีปัญหา

ในเรื่องการควบคุมพวงมาลัย ถ้าใช้งานปกติทั่วไปใช้ในชีวิตประจำวัน ถือว่าโอเคเอาอยู่สบายๆ เสียงรบกวนมีเสียงเข้าอยู่พอควร ทั้งเสียงรถ และเสียงถนน ถือว่าอยู่ในระดับ Standard ฟิลลิ่งการใช้งานพื้นที่ถือว่ากว้าง ทัศนวิสัยในการขับขี่ดี แต่กระจกหลังไม่ได้กว้าง

ระบบความปลอดภัย เซ็นเซอร์ สัญญาณเตือน Blind Spot คันนี้มีให้ครบใช้งานได้ดีมาก ทำให้ช่วยซับพอร์ทในการขับขี่ได้ดี

BYD DOLPHIN มีคู่แข่งที่เปรียบเทียบ ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า อย่าง GWM ORA GOOD CAT รถอีโคคาร์ อย่าง TOYOTA YARIS ATIV, HONDA CITY, MAZDA 2, MG 5, NISSAN ALAMRA, SUZUKI SWIFT, SUZUKI CELERIO

นอกจากนั้น ได้ลองทดสอบ ระบบชาร์จโทรศัพท์ ไร้สายประมาณ 26 นาที จากแบตเตอรี่ 67% เพิ่มเป็น 76%

สรุป BYD DOLPHIN รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ ถ้าเน้นการใช้งานปกติทั่วไปถือว่าตอบโจทย์ ออฟชั่น ฟีเจอร์ฟังก์ชั่นครบ แต่ถ้าสายซิ่งอาจจะยังไม่ค่อยตอบโจทย์ครับ

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ