Search
Close this search box.

Mercedes-Benz A200 AMG Dynamic (2023) ราคา 2,320,000 บาท น่าสนใจ มีอะไรเปลี่ยนไปเยอะ

Mercedes-Benz A200 AMG Dynamic ใหม่ล่าสุด Facelift ประจำปี 2023 สามารถใช้เท้าเปิดท้ายได้ด้วย ถ้าต้องการพื้นที่สามารถพับเบาะแถวสอง แต่เมื่อจะปิดต้องใช้มือปิดนะครับเพราะไม่ได้เป็นแบบไฟฟ้า

กระจังหน้าเป็นดีไซน์ใหม่เรียกว่าเป็นแบบสตาร์แพทเทิร์น คล้ายกับรุ่น CLS ไฟหน้าดีไซน์ใหม่เพิ่มระบบ Adaptive Highbeam Assist พร้อมดีไซน์โครงสร้างใหม่ช่วยในเรื่องของแอร์โรไดนามิค ที่สำคัญเก็บเสียง เพื่อไม่ให้เสียงลมเข้ามาตอนขับรถ กันชนหน้าก็เป็นดีไซน์ใหม่ ล้อดีไซน์ใหม่ เป็นสีดำล้วน เปรียบเทียบกับรุ่นก่อนจะเป็นสีเทา จะดูเข้ม สปอร์ต เท่มากยิ่งขึ้น มาพร้อมล้อ 18 นิ้ว ยางขนาด 225/45 R18 ของคอนติเนนทอล ไฟท้ายดีไซน์ใหม่ หลังคาพาโนรามิคซันรูฟก็มีให้

ภายในมีระบบมัลติมีเดียแบบ MBUX7 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด แอร์ด้านหลังก็มีให้นะครับ แต่มีบางอย่างที่ตัดออกไป เช่น ไม่มีทัชแพด กระจกข้างฝั่งคนขับจะตัดระบบปรับแสงอัตโนมัติออกไป พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ และระบบเบรกเป็นแบบสปอร์ต รุ่นนี้มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ ดำ ขาว เทา เงิน ราคาอยู่ที่ 2,320,000 บาท

เส้นทาง กรุงเทพฯ – ชะอำ ราวๆ 170 กิโลเมตร การใช้งาน ภาพลักษณ์โดยรวมของคันนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เริ่มต้นที่ Mercedes-Benz A200 AMG Dynamic (2023) ภาพรวมเป็นรถที่ดูสปอร์ต เท่มากๆ ตอบโจทย์วัยรุ่น ซึ่งรถ A Class เป็นรถกลุ่มเริ่มต้นของ Mercedes-Benz ในแบบซีดาน ที่ราคาถูกที่สุด ที่ให้ความสปอร์ต ภายใต้ AMG Dynamic ด้านท้ายจะได้ฟิลด์เป็นรถครอบครัว ผสมผสานความสปอร์ต ด้านท้ายจะดูอวบๆ หน่อย ให้ฟีลอบอุ่นนิดนึง จากที่ได้สัมผัสคันจริงๆ ซึ่งเป็นมุมมองส่วนตัวของผม

ภายใน ผมชอบ แดชบอร์ด คอนโซล ดูมีมิติ ไม่ได้แบนๆ เรียบๆ โอเคเลย วัสดุเป็นแบบซอฟทัช สัมผัสได้ถึงความนุ่ม ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก เพราะว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุ แล้วไปกระแทกจะบาดเจ็บน้อยลง การออกแบบผมว่าโอเค จะเป็นสีดำอ่อน หรือเทาเข้ม จะไม่ได้เป็นสีดำมืดไปเลย โดยรวมเป็นโทนแบบนี้ทั้งภายใน ไม่ว่าแผงประตูด้านข้าง เพดาน เป็นต้น คุมโทนทรงสปอร์ต ไม่ว่าจะเป็นช่องแอร์ แป้นคันเร่ง เบรก พวงมาลัยก็เป็นทรงสปอร์ต ซึ่งผมอาจจะอยู่ในวัยนั้นก็ได้

คันนี้เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร เทอร์โบ 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตันเมตร 0-100 ใช้เวลาประมาณ 8.3 วินาที โดยเป็นตัวเลขจาก Mercedes-Benz การขับขี่ถึงแม้จะเป็นเครื่องยนต์ 1.3 ลิตร แต่จริงๆ มันแรงใช้ได้อยู่นะ ตอบโจทย์ในการขับในเมือง แล้วก็ขับต่างจังหวัด แต่เมื่อไปเทียบความแรงกับกลุ่ม C Class หรือ E Class แน่นอนว่า A Class คันนี้สู้ไม่ได้อยู่แล้ว

การขับด้วยความเร็วต่ำ ความเร็วระดับกลาง หรือความเร็วระดับสูง รถคันนี้ มีการตอบสนองที่โอเคอยู่พอสมควร โดยลองขับโหมด Comfort จาก 0 - 100 กิโลเมตร ใช้เวลา 9.47 วินาที

หลังจากนั้นลองปรับเป็นโหมด Eco โดยกดตรงปุ่ม Dynamic หน้าจอจะแสดงผลสัญลักษณ์ E และลองเร่งคันเร่ง ก็ถือว่าแรงอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ไม่แรงเท่ากับโหมดอื่น และเมื่อเร่งลากยาวและปล่อยคันเร่งๆ ให้ได้รอบสูงแล้ว เครื่องยนต์จะปรับการทำงานจาก 4 สูบ เหลือ 2 สูบ เพื่อให้ใช้พลังงานน้อยลง ซึ่งการขับให้เข้าเงื่อนไขเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานแบบนี้ก็ไม่ได้ง่ายซะทีเดียว โหมดนี้เรียกว่า Glide Mode ซึ่งตัว E ในโหมด ECO จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ระบบนี้จะทำงานเฉพาะโหมด ECO เท่านั้น

จากที่สังเกตทั้งโหมด Comfort และ Eco การเก็บเสียงของรถคันนี้ ทำได้ดีในระดับนึง เสียงลมในความเร็ว 100 กิโลเมตร / ชั่วโมง จะค่อนข้างเบา เมื่อเร่งไปที่ 120 กิโลเมตร / ชั่วโมง ก็ยังถือว่าเก็บเสียงได้อยู่พอสมควร เพราะได้มีการปรับเรื่องของแอร์โรไดนามิคที่อยู่ช่องด้านข้าง

ลองปรับเป็นโหมด Sport บ้าง หน้าจอแสดงสัญลักษณ์ S ลองเหยียบคันเร่ง เสียงเครื่องยนต์ให้พละกำลังที่เร็ว แรง เร้าใจ กลบเสียงลมจากภายนอกเลยทีเดียว โหมดสปอร์ตแน่นอนว่าจะกินน้ำมันเยอะอยู่พอสมควร แนะนำว่าเอาขับช่วงที่โล่งๆ เมื่อรถเยอะแนะนำให้เปลี่ยนเป็นโหมด Comfort

เมื่อถึงชะอำ เดินทางมาด้วยระยะทางประมาณ 170 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 ถึง 4 ชั่วโมง ความรู้นึกของเบาะนั่ง เมื่อ 2 ชั่วโมงแรกรู้สึกโอเค แต่หลังจากนั้นรู้สึกมีอาการเมื่อยนิดนึง แนะนำให้ทุกท่านลองแวะยืดเส้นยืดสาย แล้วค่อยกลับมานั่งขับต่อก็โอเคนะ

ส่วนอัตราสิ้นเปลืองของคันนี้อยู่ที่ประมาณ 14 - 15 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าปกติ ถ้าเน้นกว่านี้เชื่อว่าได้ 16 กิโลเมตรต่อลิตร แน่นอนครับ ไม่ได้แบบกินน้ำมันเยอะแต่ก็ไม่ได้ประหยัดซะทีเดียว ขับในโหมด Eco ไม่ได้อืดเลย จริงๆขับมาต่างจังหวัดยังได้เลยครับ ขับสบายๆ แต่ถ้าไม่ได้ซีเรียสเรื่องการประหยัด อยากได้ฟีลแบบมันๆ แรงมากกว่านี้ก็ไปโหมด Comfort แต่ถ้าแบบจี๊ดจ๊าด สายซิ่ง ต้องไปโหมด Sport เลยครับ

จุดที่ผมชอบสำหรับรถคันนี้ ได้แก่ระบบความปลอดภัย อย่าง ADAS ระบบเตือนกันชนหน้า ออฟชั่นต่างๆอย่าง ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา เบาะหน้ามี 3 Memory seat ทั้งคนขับ และด้านข้าง แต่ก็เสียดายก็คือ กล้อง 360 องศา Lane Departure, Lane change ไม่มีมาให้

นอกจากนี้ออกแบบโดยรวมตอบโจทย์สายสปอร์ต ไม่ใช่แค่ดีไซน์ ฟิลลิ่งการขับก็สปอร์ต เบาะจะต่ำกว่าปกติ ถ้าไม่ชอบสามารถปรับเบาะให้ยกสูงขึ้นมาได้ ซึ่งด้วยความสูง 170 เซนติเมตร รู้สึกพื้นที่ว่างเหนือศรีษะจะอึดอัดนิดนึง

คอนโซนกลางมี Wireless Charger ให้ด้วย อันนี้ผมชอบ แต่ข้างๆ นั้นมีช่อง USB ใช้สายชาร์จโทรศัพท์ดีกว่า เพราะไฟจะเข้าแรงกว่า ซึ่งเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน ส่วนหน้าจอคนขับผมชอบของเบนซ์อยู่แล้ว ซึ่งสามรถปรับลูกเล่น เลือกดีไซน์หน้าจอในแบบที่ต้องการได้ อย่างหน้าจอ Sport เป็นต้น

สรุปการใช้งาน Mercedes-Benz A200 AMG Dynamic มุมมองส่วนตัว ถือว่าคุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งข้ามค่ายอย่าง BMW 220i ราคาใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน แต่สิ่งที่รถคันนี้เหนือกว่าก็คือภายใน โดยเฉพาะเบาะหลังที่กว้างกว่า มีพื้นที่ให้อำนวยความสะดวกมากกว่า ซึ่งเป็นแค่การเปรียบเทียบแบบน้ำจิ้มนะครับ

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ